ทะเบียนรถไฟฟ้าสุดอัจฉริยะ ข้อมูลแม่นยำแบบเรียลไทม์

Loading

สัปดาห์นี้ไปดูจีนจะเริ่มดำเนินการใช้ทะเบียนรถไฟฟ้าแบบสมาร์ทอัจฉริยะได้ข้อมูลเที่ยงตรงแม่นยำแบบเรียลไทม์ รู้หมดรถเป็นของใคร จดทะเบียนที่ไหน ใช้มากี่ปีแล้ว ทำผิดกฎจราจรมาหรือไม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 เป็นต้นไป จีนจะเริ่มดำเนินการใช้ทะเบียนรถไฟฟ้า เรามาดูกันว่า “ทะเบียนรถอิเล็กทรอนิกส์” หรือ Electronic Vehicle Identification, EVI คืออะไร EVI ก็คือ จากการที่ในปัจจุบันระบบอินเตอร์เนทที่พัฒนาจนสามารถจะออนไลน์ดูและแยกแยะ รวมไปถึงการมีระบบ RFID หรือ Radio Frequency Identification หรือการระบุข้อมูลสิ่งต่างๆ โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งพวกเราทุกคนคงคุ้นเคยกันดี เพราะมันถูกนำมาใช้งานชีวิตประจำวันของเราอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแท็กที่ใช้ในป้ายสินค้าเพื่อป้องกันการขโมย ตั๋วรถไฟใต้ดิน เป็นต้น แต่ของประเทศจีนนั้น ระบบต่างๆ กำลังถูกนำมาเพื่อใช้ระบุทุกอย่าง อย่างเข้มข้น ตั้งแต่การที่ประชาชนจะถูกเก็บข้อมูลอย่างละเอียด จนที่บ้านเราอาจจะรู้สึกว่า การทำดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เฉพาะกับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เดินทางเข้าประเทศจีน ก็จะถูกเก็บข้อมูลด้วยการเข้าไปเครื่องเก็บข้อมูล เมื่อเราสอดพาสปอร์ตเข้าไปเครื่องจะทราบว่าเราเป็นคนชาติใด และใช้ภาษาของเราในการสื่อสาร คือไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านภาษาจีนไม่ออก และตั้งแต่เริ่มสแกนหน้า สแกนนิ้วทั้งหมด ให้สัมพันธ์กับหนังสือเดินทาง เมื่อไปถึงโรงแรม โรงแรมก็จะขอหนังสือเดินทางและสแกนพาสปอร์ตส่งข้อมูลไปว่า นักท่องเที่ยวท่านนี้ได้เดินทางมาเข้าพักที่โรงแรมนี้ หรือแม้แต่จะเดินทางด้วยรถไฟก็จะต้องระบุตัวตนด้วยบัตรประชาชนและหนังสือเดินทาง…

รถไฟใต้ดินโอซากา ทดสอบระบบสแกนใบหน้าแทนการใช้ตั๋ว

Loading

โอซากา เมโทร ผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินในนครโอซากา ได้ทดสอบระบบประตูอัตโนมัติที่ใช้การจดจำใบหน้า แทนการใช้ตั๋วแบบปกติ โดยตั้งเป้าจะใช้งานจริงก่อนงานเวิร์ล เอ็กซ์โป 2025 การทดสอบครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นพนักงานของโอซากา เมโทร ราว 1,200 คน โดยเป็นการทดสอบระบบสแกนใบหน้าเพื่อชำระค่าโดยสารเป็นครั้งแรกของรถไฟในประเทศญี่ปุ่น หลังจากนี้ จะมีการติดตั้งระบบสแกนใบหน้าเพื่อทดลองใช้งานจริงจนถึงเดือนกันยายน ปีหน้า ใน 4 สถานีสำคัญคือ โดเมมาเอะ ชิโยซากิ, โมริโนมิยะ, โดบุตสึเอ็น มาเอะ และ ไดโคคุโจ แต่ละสถานีจะมีประตูที่ติดตั้งระบบจดจำใบหน้า ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทที่แตกต่างกัน 4 บริษัท เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงาน การใช้งานระบบชำระค่าโดยสารโดนสแกนใบหน้า จะต้องลงทะเบียนใบหน้าไว้ล่วงหน้า เมื่อเดินผ่านประตูที่สถานี ระบบจะเปรียบเทียบใบหน้าผู้โดยสารกับข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้ ถ้าข้อมูลตรงกันประตูก็จะเปิดให้ผ่านเข้าสถานีได้ ระบบสแกนใบหน้า นอกจากจะช่วยให้ผู้โดยสารผ่านเข้าสถานีได้เร็วขึ้น ลดความแออัดแล้ว บังอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งจะผ่านประตูได้โดยไม่ต้องแตะบัตรโดยสาร บริษัท 4 แห่งที่ร่วมทดสอบระบบสแกนใบหน้าของรถไฟใต้ดินของโอซากา ประกอบด้วย บริษัท ออมรอน โซเชียล เทคโนโลยี, บริษัท ทากามิซาวะ ไซเบอร์เนติค, บริษัท โตชิบา…

เทคโนโลยีจดจำใบหน้าไหลบ่าท่วมจีน กับกระแสวิตกความปลอดภัยข้อมูลใบหน้า

Loading

ใบหน้าของผู้เข้าชมงานนิทรรศการดิจิตัล ไชน่า ในฝูโจว ปรากฏบนจอภาพของเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ภาพเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2019 (แฟ้มภาพ รอยเตอร์ส) ระบบการจดจำใบหน้า (facial recognition) กำลังหลั่งบ่าสู่ชีวิตชาวจีนในมิติต่างๆมากขึ้นทุกวันในขณะที่ยังไร้มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ระบบระบุอัตลักษณ์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดได้ก่อความเคลือบแคลงวิตกกังวลให้กับบางกลุ่มเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนตัวและการนำไปในในทางมิดีมิร้ายต่าง ๆ ที่น่าสะพรึงอย่างไม่อาจจิตนาการ หลังจากที่จีนออกกฎข้อบังคับใหม่ให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือต้องสแกนใบหน้าเมื่อลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ ก็อาจกล่าวได้ว่าขณะนี้แทบไม่มีชาวจีนคนไหนรอดพ้นจากการแวะข้องกับเทคโนโลยีจดจำใบหน้ากันแล้ว กระทรวงสารสนเทศและเทคโนโลยีแห่งจีนซึ่งประกาศกฎข้อบังคับนี้มาตั้งแต่เดือนก.ย. โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ออกโรงอธิบายมาตรการใหม่นี้จะช่วยป้องกันการขายต่อซิมการ์ดและป้องกันพวกมือมืดหรือมิจฉาชีพลงทะเบียนในเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในกรณีที่บัตรประชาชนถูกขโมย สื่อโซเชียลมีเดียและบริการออนไลน์หลายรายในจีนได้เชื่อมโยงกับหมายเลขโทรศัพท์เพื่อที่จะสามารถติดตามผู้ใช้ได้ แอพลิเคชั่นเชิงพาณิชย์และหน่วยงานตำรวจก็ใช้ระบบรู้จำใบหน้ากับคึกคัก เครือข่ายสถานีรถไฟใต้ดินปักกิ่งเป็นรายล่าสุดที่นำระบบรู้จำใบหน้ามาใช้ในปลายเดือนที่ผ่านมา(28 พ.ย.) ขณะที่สถานีรถไฟใต้ดินในหลายๆเมืองในจีนได้ใช้ระบบฯนี้กันไปเรียบร้อยโรงเรียนจีน จีนได้ทะยานขึ้นเป็นจ้าวเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) ชั้นนำของโลก และกำลังนำเอไอมาใช้ในทุกมิติชีวิต ตามสถานที่สาธารณะเริ่มทยอยติดตั้งกล้องวงจรปิดเทคโนโลยีจดจำใบหน้าทั้งเพื่อการต่างๆ ทั้งการจับขโมย นักล้วงกระเป๋า ไปยันการขโมยกระดาษชำระในห้องน้ำ มีการเปิดเผยอย่างกว้างขวางระบุว่าจำนวนกล้องวงจรปิดที่ใช้ในจีน ราว 200 ล้านตัว และกำลังจะเพิ่มมากขึ้นถึง 626 ล้านตัว ไล่เรียงดูแล้วแทบจะพูดได้ว่าเทคโนโลยีจดจำใบหน้าแพร่ระบาดไปทั่วหย่อมหญ้าจีน แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันชาวจีนจนกลายเป็นความปกติธรรมดาไปแล้ว สำหรับผู้ที่มองโลกในแง่ดีบอกว่ามาตรการใหม่ที่ให้สแกนใบหน้าเพื่อลงทะเบียนเปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือนี้จะช่วยลดคดีฉ้อฉลในด้านโทรคมนาคม และการหลอกลวงเกี่ยวกับโทรศัพท์ มหาวิทยาลัยหลายแห่งคุยว่าการใช้ระบบจดจำใบหน้ามาเช็คชื่อผู้เข้าเรียนช่วยให้อัตราการเข้าห้องเรียนของนักศึกษาสูงขึ้น เป็นต้น ทว่า ในอีกด้านหนึ่งกลุ่มเคลือบแคลงสงสัยต่อระบบจดจำใบหน้าได้ชี้ถึงผลพวงอันไม่พึงประสงค์ของปัจเจกชน บ้างกล่าวว่ามันเป็นอีกตัวอย่างของการขยายการติดตามพลเมือง บ้างชี้ว่ามันเป็นการละเมิดและอาจจะถูกนำไปใช้ในการฉ้อฉลอย่างน่าสะพรึง…

เจาะลึก กองทัพโดรน..อาวุธไฮเทคฝีมือคนไทย

Loading

กองทัพทั่วโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาอาวุธ ก้าวเข้าสู่ยุค “สงครามไฮเทค” โดยเฉพาะการใช้ “กองทัพโดรน” เพื่อลดความเสี่ยงสูญเสียชีวิตของกำลังพล และลดงบประมาณจัดซื้ออาวุธขนาดใหญ่ หลายประเทศแอบพัฒนา “อาวุธโดรน” ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น บินได้เร็ว บินได้สูง บินได้ไกล และติดตั้งจรวดโจมตีขนาดใหญ่ให้ได้มากสุด…กองทัพไทยก็มีการทุ่มเทพัฒนาโดรนสายพันธุ์ไทยแท้เช่นกัน คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ “โดรน” (Dynamic Remotely Operated Navigation Equipment) อุปกรณ์ที่ใช้รีโมทในการบังคับให้เคลื่อนที่ ถ้าเป็นจำพวกเครื่องบินขนาดจิ๋วหรืออุปกรณ์ที่บินได้ด้วย จะใช้คำ “ยูเอวี” (Unmanned Aerial Vehicle) แต่สำหรับโดรนที่นำมาพัฒนาให้เป็นอาวุธหรือเครื่องมือต่างๆ ในกองทัพทหารนั้น ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “อากาศยานไร้คนขับติดอาวุธ” หรือ “ยูซีเอวี” (Unmanned Combat Air Vehicle) ซึ่งอาวุธโดรนประเภทนี้ จะสามารถบรรทุกกล้องสอดแนม ปืน ระเบิด จรวดขนาดต่างๆ ได้ด้วย ปัจจุบัน อาวุธโดรน หรือ ยูซีเอวี กลายเป็นพระเอกตัวสำคัญที่บริษัทผลิตอาวุธพยายามพัฒนาออกมาเพื่อเชิญชวนกองทัพทั่วโลกให้ซื้อไปใช้ป้องกันประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทผู้ค้าอาวุธยักษ์ใหญ่ เช่น จีน มักจัดงานโรดโชว์อาวุธโดรนไปทั่วโลก ล่าสุดจีนได้ติดตั้งปืนไรเฟิลเข้ากับยูซีเอวี หวังให้เป็นเครื่องบินรบรุ่นใหม่ไร้คนขับแทนที่ฝูงบินรบแบบเก่า…

ปลอมตัวได้สมจริงอย่าง Mission Impossible ด้วยหน้ากากซิลิโคนที่ใครก็แยกไม่ออก

Loading

By  Sila Wongchareon นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยอร์กในอังกฤษและมหาวิทยาลัยเกียวโตในญี่ปุ่น ได้สร้างหน้ากากซิลิโคนที่เลียนแบบทุกอย่างตั้งแต่ตีนกา กระ และผมเพื่อหลอกใคร ๆ ให้คิดว่านี่คือหน้าคนจริง ๆ ดังนั้นเมื่อคุณสวมหน้ากากใบนี้แล้วปลอมตัวเดินไปยังที่ต่าง ๆ เชื่อหรือไม่ว่าไม่มีใครสามารถจับผิดได้เลย อารมณ์เหมือนการปลอมตัวในภารกิจลับจากภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible การศึกษาที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ: หลักการและการสืบสวน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นักวิจัยได้นำภาพถ่ายคู่หนึ่งออกมาแสดงแก่ผู้เข้าร่วมงานจากอังกฤษและญี่ปุ่น ซึ่งภาพคนหนึ่งเป็นคนปกติและอีกคนหนึ่งได้ปลอมตัวโดยการสวมหน้ากากซิลิโคน จากนั้นนักวิจัยได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วมงานทายดูว่าคนใดที่ใส่หน้ากากปลอมตัว แต่ปรากฏว่ามีคนทายผิด 20% จากจำนวนครั้งที่มีการเลือก การศึกษาในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานมีความได้เปรียบมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตประจำวันบนท้องถนนทั่วไป เพราะพวกเขาได้ดูตัวอย่างของหน้ากากก่อนที่จะเริ่มการทดสอบโดยให้ทายว่าในภาพแต่ละคู่ ภาพใดคือหน้ากาก? แต่พวกเขาก็ยังทายผิด ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าเมื่อมีการนำหน้ากากใช้ปลอมตัวในโลกแห่งความเป็นจริงก็จะมีอัตราความผิดพลาดสูงขึ้น สรุปง่าย ๆ ว่าคนทั่วไปแทบจะไม่รู้ว่าเป็นหน้ากาก ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีคนสวมหน้าปลอมตัวเป็นรัฐมนตรีของฝรั่งเศสก่ออาชญากรรมมาแล้ว ต่อไปคุณจะได้เห็นกรณีการก่ออาชญากรรมแบบนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะหน้ากากเหล่านี้ราคาแค่ชิ้นละ 39,121.68 บาท (1,000 ปอนด์) และเมื่อมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายยอดผลิตมากขึ้นราคาก็จะถูกลง แล้วคุณล่ะคิดหรือยังถ้ามีโอกาสจะปลอมตัวไปทำอะไรดี ————————————————— ที่มา : Beartai / 21 พฤศจิกายน 2562 Link : https://www.beartai.com/news/sci-news/380907

สหรัฐฯ อาจลดการแชร์ข้อมูลข่าวกรองกับแคนาดา หากแคนาดาเลือกใช้เทคโนโลยี 5G ของ Huawei

Loading

ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยระดับชาติของสหรัฐฯ ได้เตือนแคนาดาว่าอย่าใช้เทคโนโลยี 5G ของบริษัท Huawei โดยระบุว่าจะทำข่าวกรองที่แชร์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ตกอยู่ในอันตราย รวมถึงสุ่มเสี่ยงต่อการที่ประชาชนชาวแคนาดาจะถูกเก็บข้อมูลโดยรัฐบาลจีนอีกด้วย Robert O’Brien ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในระหว่างงานสัมมนาด้านความปลอดภัยที่ Halifax ว่า หากพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเราเลือกที่จะเปิดให้ม้าโทรจันเข้ามาอยู่ในเมือง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการแชร์ข้อมูลข่าวกรองได้ ถ้าพวกเขา (หมายถึงจีน) นำ Huawei เข้ามาที่แคนาดาหรือประเทศแถบตะวันตกอีกหลายประเทศ ก็จะรู้ข้อมูลด้านสุขภาพ, การธนาคาร, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พวกเขาจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชาวแคนาดาแต่ละคน ส่วนฝ่ายแคนาดาโดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Harjit Sajjan ที่อยู่ในงาน Halifax ด้วย ระบุว่าแคนาดาต้องใช้เวลาสักระยะที่จะสามารถพิจารณาภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรอบด้าน ปัจจุบัน ประเทศที่แบนเทคโนโลยี 5G ของ Huawei ไปแล้วก็มีสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในขณะที่อังกฤษนั้นยังไม่ได้แบนแต่เลือกที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของ Huawei ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ —————————————— ที่มา : Blognone / 24 November 2019 Link : https://www.blognone.com/node/113309