รู้จัก ‘แฮกเกอร์สายขาว’ ของไทย ผู้ปกป้องเงินในบัญชีของคุณ

Loading

ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ในไทยผลักดันให้ลูกค้าหันมาทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุนของธนาคาร ธนาคารมักยืนยันว่ามีความปลอดภัย แต่ลูกค้ามั่นใจได้จริงแค่ไหน พิชญะ โมริโมโต พยายามแฮกเข้าระบบของธนาคารเป็นประจำและมักประสบผลสำเร็จ แต่ต่างจากอาชญากรไซเบอร์ เพราะเขาเป็น “แฮกเกอร์สายขาว” ซึ่งหน้าที่ก็คือช่วยให้เงินฝากในบัญชีของธนาคารปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เขาพบก็คือระบบการรักษาความปลอดภัยของธนาคารโดยรวมยังมีจุดอ่อน “ยังไม่ค่อยปลอดภัยเท่าที่ควร ยังมีหลาย ๆ ครั้ง ที่พบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงมาก แต่ไม่มีการซ่อมแซม” พิชญะ ผู้มีตำแหน่งผู้ให้คำปรึกษาด้านความปลอดภัย ของบริษัท SEC Consult กล่าว ส่องเทคโนโลยีปี 2560 : ธนาคารใหญ่จะพ่ายโจรไซเบอร์ ขุดบิทคอยน์: อาชีพเสริมใหม่ หรือ กระแสชั่วคราว? บริการยิ่งหลากหลายยิ่งเสี่ยงมากขึ้น ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในประเทศจะต้องทดสอบความปลอดภัยของระบบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งโดยผู้ตรวจสอบจากนอกองค์กร นั่นหมายถึงธนาคารต้องจ้างมืออาชีพตรวจสอบด้านความปลอดภัยระบบอย่าง พิชญะ เข้ามาทำงาน สิ่งที่เขาทำคือจำลองสถานการณ์เหมือนเป็นแฮกเกอร์ที่พยายามเจาะระบบ เพื่อวิเคราะห์ว่าสามารถโจมตีทางใดได้บ้างและรายงานต่อธนาคารเพื่อแก้ไข พิชญะ อธิบายว่าความเสี่ยงของระบบนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า attack surface นั่นคือช่องทางหรือพื้นที่แฮกเกอร์สามารถทำงานได้ กล่าวคือ ยิ่งมีบริการออนไลน์หลายรูปแบบ ยิ่งมีโอกาสเกิดช่องโหว่ได้มากขึ้น “เขาอาจจะมองว่าถึงมีช่องโหว่จริง แต่เขาก็มีทีมมอร์นิเตอร์และมั่นใจว่าจะระงับเหตุได้ทันท่วงที” พิชญะกล่าว แต่ในมุมมองของเขา…

นักวิทยาศาสตร์สวิสพัฒนา ‘หุ่นยนต์สี่ขา’ สามารถเดินได้อย่างมั่นคงสำหรับงานกู้ภัย

Loading

เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเร่งการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อทำงานแทนมนุษย์ในงานหลายรูปแบบ ผู้คนเคยเห็นหุ่นที่มีความเหมือนมนุษย์จริงทำถูกใช้งานต้อนรับลูกค้ากันมาแล้ว บางครั้งหุ่นมีหน้าที่เฉพาะและมีลักษณะแตกต่างไปจากคนอย่างสิ้นเชิง หุ่นยนต์อีกประเภทหนึ่งคือที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นงานพัฒนาของนักวิจัย Marco Hutter แห่ง Autonomous Systems Lab ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รูปพรรณสัณฐานของหุ่นยนต์นี้ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า ANYmal มีความคล้ายสัตว์สี่ขา Marco Hutter ผู้ประดิษฐ์ กล่าวว่า หุ่น ANYmal เคลื่อนที่ทีละขาและมีความมั่นคงเป็นพิเศษ งานที่เหมาะกับสิ่งประดิษฐ์นี้คือการเคลื่อนที่บนสภาพพื้นผิวที่มีสิ่งกีดขวางและคาดเดายากว่าพื้นที่ข้างหน้าเป็นเช่นใด บริษัทที่เป็นเจ้าของหุ่นรุ่นนี้คือ ANYbotics ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะนำหุ่น ANYmal ออกขายเชิงพาณิชย์ในอนาคต Marco Hutter กล่าวว่าหุ่น ANYmal สามารถวางแผนที่จะเดินก้าวต่อไปเมื่อทราบถึงลักษณะพื้นผิวจากก้าวที่เพิ่งเหยียบลง นอกจากจะมีกล้องติดตัวที่อ่านค่าความร้อนได้แล้ว ANYmal มีเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวก๊าซรอบตัว จึงทำให้พวกมันเหมาะงานสำรวจแหล่งปิโตรเลียม และแหล่งแร่ส่วนความสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงเป็นจุดเด่นสำหรับภารกิจกู้ภัย (รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Arash Arabasadi) —————————————————————- ที่มา : VOA thai / 16 พฤศจิกายน 2560 Link…

นาฬิกาอัจฉริยะสำหรับเด็ก ถูกแบนแล้วในเยอรมนี

Loading

  น่าสนใจทีเดียวกับมาตรการของหน่วยงานจากรัฐบาลของเยอรมนีอย่าง Bundesnetzagentur ที่ออกมาประกาศ “แบนนาฬิกาอัจฉริยะ” สำหรับเด็กแล้ว พร้อมเรียกร้องให้ผู้ปกครองที่ซื้อนาฬิกาดังกล่าวให้เด็ก ๆ “ทำลาย” นาฬิกาทิ้งด้วย ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของเด็ก ๆ ว่าจะอาจจถูกคุกคามจากช่องโหว่ในอุปกรณ์เหล่านี้นั่นเอง โดยประธานของ Bundesnetzagentur อย่าง Jochen Homann ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ปกครองสามารถเปิดเข้าไปในแอปพลิเคชัน และสามารถฟังเสียงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็กได้ แต่ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งผ่านระบบเครือข่ายโดยที่ไม่มีการรักษาความเป็นส่วนตัว ทำให้มีโอกาสที่จะถูกบุคคลภายนอกแอบฟังได้เช่นกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าในสังคมเยอรมนีมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ Wearable สำหรับเด็กเพิ่มมากขึ้น และเคยมีคณะกรรมการผู้บริโภคนอร์วีเจียน (Norwegian Consumer Council) ได้ออกมาเตือนไม่ให้ผู้ปกครองซื้อนาฬิกาที่แสดงตำแหน่งผ่านระบบ GPS ให้บุตรหลานเช่นกัน เนื่องจากเกรงว่า นอกจากพ่อแม่ที่สามารถทราบตำแหน่งของลูก ๆ ได้แล้ว ก็อาจมีคนอื่นล่วงรู้ตำแหน่งของเด็ก ๆ ด้วย “ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่า นาฬิกาเหล่านี้สามารถช่วยให้ลูก ๆ ของตนเองปลอดภัยได้ แต่ถึงตอนนี้ พวกเขาอาจต้องคิดใหม่ หากช่องโหว่เรื่องความปลอดภัยยังไม่ได้รับการแก้ไข นาฬิกาเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่อันตรายได้” แบรนด์ที่ทางการเยอรมนีระบุชื่อว่าควรระวังไม่ซื้อมาให้ลูก ๆ สวมนั้นมี…

รัฐบาลขอความร่วมมือ ใช้กล้องวงจรปิดเอกชน ดูแลความปลอดภัย-ป้องกันความมั่นคง

Loading

“คงชีพ” เผย “ประวิตร” เล็งขอความร่วมมือกล้องวงจรปิดภาคเอกชน เชื่อมโยงภาครัฐ ดูแลความปลอดภัยประชาชนในพื้นที่สาธารณะ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการบริหารการบูรณาการแผนและระบบกล้อง ประสานทุกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดติดตาม รวบรวมข้อมูลสถานภาพกล้องวงจรปิดทั่วประเทศที่มีอยู่จริงจากการสำรวจที่ผ่านมา พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเชื่อมโยงระบบกล้องทั่วประเทศ และแผนบริหารจัดการระบบและการใช้ข้อมูลของทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดต่างๆ และภาพรวมของประเทศ ให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประชุมภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย พิจารณาจัดทำแผนติดตั้งกล้องวงจรปิดเร่งด่วนเพิ่มเติมในพื้นที่จุดเสี่ยงที่จำเป็นของแต่ละจังหวัด พร้อมทั้งประสานขอความร่วมมือภาคเอกชน สนับสนุนการเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งนอกอาคาร ให้สามารถสานต่อครอบคลุมเป็นเครือข่ายดูแลความปลอดภัยของประชาชนได้ในภาพรวม “การบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายและใช้ศักยภาพกล้องวงจรปิดภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งการสนับสนุนติดรถยนต์สาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและติดตามการเชื่อมโยงปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าความร่วมมือของภาคเอกชนในงานความมั่นคง จะเป็นกำลังร่วมที่สำคัญในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและสร้างวินัยทางสังคมควบคู่กันไปในภาพรวม” โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว —————————————————— ที่มา : มติชนออนไลน์ / 16 พฤศจิกายน 2560 Link : https://www.matichon.co.th/news/733440

เนเธอร์แลนด์ผุด “แผงกั้นน้ำท่วมอัจฉริยะ” ใช้งานได้ ไม่ทำลายทัศนียภาพ

Loading

แผงกั้นน้ำท่วมยาวที่สุดในโลก สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และไม่สามารถสร้างเขื่อนแบบดั้งเดิมได้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้สร้างแผงกั้นน้ำท่วมปิดอัตโนมัติความยาวกว่า 300 เมตร บริเวณท่าเรือประมง Spakenburg นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ล่าสุดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยภายในประเทศที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะแลแห่งนี้ อีกทั้งยังถือว่าเป็นแผงกั้นน้ำท่วมที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย ตามรายงานระบุ แผงกั้นน้ำท่วมดังกล่าวมีความสูงประมาณ 80 เซนติเมตร และหากไม่ต้องการใช้งาน แผงกั้นจะถูกเก็บลงไปในระดับเดียวกับทางเท้า โดยมีเพียงชิ้นส่วนด้านบนที่เป็นเหล็กเท่านั้นที่โผล่ออกมาบริเวณรอบท่าเรือให้สามารถมองเห็นได้ ทำให้การสร้างแผงกั้นน้ำท่วมนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะเดิมของท่าเรือที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังใช้พื้นที่น้อยมาก และไม่ทำลายสภาพแวดล้อมของอดีตหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชือเสียงในปัจจุบันอีกด้วย โดยแผงกั้นน้ำท่วมนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อเกิดน้ำท่วมสูง จนกระแสน้ำไหลเข้ามาเป็นแรงดันให้แผงกั้นน้ำท่วมขึ้นมาจากทางเท้าโดยอัตโนมัติ จากนั้น “กระเป๋า” จากแผ่นโลหะเคฟลาร์น้ำหนักเบาที่อยู่ใต้แผงกั้นจะทำหน้าที่เป็นถังกักเก็บน้ำเอาไว้เป็นเวลา 20 นาที นาย Roeland Hillen ผู้อำนวยการโครงการป้องกันน้ำท่วมดัตช์ได้กล่าวว่า การสร้างแผงกั้นน้ำท่วมนี้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อปกป้องพื้นที่เปราะบางแห่งนี้ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ไม่สามารถสร้างเขื่อนแบบดั้งเดิมขึ้นได้ อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างแผงกั้นน้ำท่วมแห่งนี้มีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านยูโร หรือประมาณ 269 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าการสร้างเขื่อนแบบดั้งเดิมถึง 3 เท่า แต่นับว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า ทั้งประโยชน์ในการใช้งานและไม่ทำลายสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม ที่มา: XinhuaNewsAgency ——————————————————- From : โพสต์ทูเดย์…

เปิดตัวนิทรรศการ “ผู้บุกรุกบนโลกไซเบอร์” ในอังกฤษ

Loading

ที่ผ่านมาเราอาจเคยได้ยินเรื่องการโจรกรรมข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตมามากมาย และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดนิทรรศการในกรุงลอนดอน ได้รวบรวมเทคโนโลยีที่สามารถรุกล้ำความเป็นส่วนตัวได้โดยที่พวกเราคาดไม่ถึง บนโลกอินเตอร์เน็ต ที่เราค้นหาข้อมูล หรือดาวน์โหลดภาพ เสียง วิดีโอ โปรแกรมต่างๆมาใช้งานได้โดยปราศจากค่าใช้จ่ายนั้น เราอาจต้องแลกด้วยข้อมูลส่วนตัวของเราโดยไม่รู้ตัว และเลวร้ายกว่านั้น บนโลกที่ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ณ วันนี้เราอาจกลายเป็นสินค้าฟรีบนโลกออนไลน์ไปเสียเองก็ได้ ซึ่งนิทรรศการ The Glass Room ที่กรุงลอนดอน ของอังกฤษ เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่รวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้คนทั่วโลก เพื่อบอกว่าบนโลกออนไลน์ ไม่มีอะไรที่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป นิทรรศการเลือกจัดสถานที่ให้เหมือนกับร้านค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีทั้งคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต สมาร์ทโฟนจำนวนมาก จัดวางทั่วนิทรรศการ ทว่าไม่มีสินค้าใดวางขายจริงๆ Stephanie Hankey จาก Tactical Tech อธิบายว่า The Glass Room อาจเหมือนร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เราจัดวางทุกอย่างให้เหมือน พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่คุณใส่ลงไปบนโลกออนไลน์ Frederike Kaltheunder จาก Privacy International บอกว่า เราอาจจะคิดว่าเราสามารถไว้วางใจที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวกับองค์กร หรือในที่ทำงาน แต่แท้ที่จริงแล้วเรากำลังถูกล้อมรอบด้วยระบบตรวจจับข้อมูลที่พยายามเก็บข้อมูลส่วนตัวของเรามากกว่านั้น ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ที่สามารถระบุอารมณ์และเพศของใบหน้าที่ฉายบนจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะทำการประมวลผลว่า ตรงกับภาพของบุคคลใดที่มีคลังภาพมหาศาลอยู่ในอินเตอร์เน็ต หรือจะเป็นหนังสือเล่มหนา…