โลกมุสลิมกำลังก้าวเข้ามาเป็นผู้คานอำนาจการเมืองระดับโลก ที่กำลังแยกค่ายแบ่งขั้วอย่างชัดเจนขึ้น รัฐอิสลามจำนวนมากเมื่อผนึกพลังกันจะมีศักยภาพไม่น้อยหน้าประเทศยักษ์ใหญ่หรือกลุ่มพหุภาคีใด ๆ สมัยก่อนพวกเขาเหมือนยักษ์หลับ ที่ต้องยุดโยงอยู่กับขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่มาวันนี้ภายใต้ความขัดแย้งที่รุนแรงของฝ่ายฝรั่งตะวันตกโปรประชาธิปไตยกับฝ่ายอำนาจนิยมตะวันออก พวกเขาพร้อมผงาดขึ้นมาอย่างหนักแน่น และส่งผลให้โฉมหน้าสภาวะแวดล้อมโลกต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในขณะที่ สหรัฐ มหาอำนาจเดี่ยวดั้งเดิมนั้นมีแนวทางปลุกกระแสพันธมิตรโดยใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหลักการที่ตกผลึกมาจากคุณค่ายึดถือของชาติตะวันตกนั้น นับว่าประสบความสำเร็จในการหาพวกมากที่สุด เพราะมนุษย์ทุกสีผิวหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์ ปราศจากข้อจำกัดในการกีดกันแสวงหาประโยชน์ ในอดีตด้านหนึ่งนั้น จีน มหาอำนาจที่พึ่งขึ้นชั้นมา อาศัยความรู้สึกชาตินิยม ปลุกกระแสชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ผลักดันความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน จนขึ้นมาทาบสหรัฐได้ คนจีนที่มีจำนวนถึง 20% ของโลกเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จนี้ แต่ในขณะที่โลกจับจ้องการเผดียงแข่งกันของสองฝ่ายนี้ โลกมุสลิมที่อาศัยความศรัทธายึดมั่นที่มีต่อศาสนาร่วมกันก็พุ่งขึ้นมาอย่างเงียบๆ พร้อมกับความหนักแน่น ชาวมุสลิมพันแปดร้อยล้านคนทั่วโลกเป็นฐานที่สำคัญของการเป็นขั้วที่สามความมั่นคงโลก ในอดีต จักรวรรดิมุสลิมเคยยิ่งใหญ่มาแล้วหลายอาณาจักร หลายแห่งกินเวลายาวนานหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นของชาวมัวร์ในไอบีเรีย โมกุลในอินเดีย หรือออตโตมานที่เกือบพิชิตยุโรปตะวันตกได้ด้วยหากไม่สะดุดที่ปากกำแพงเวียนนาเสียก่อน แต่ในรอบร้อยปีมานี้ความยิ่งใหญ่อย่างนี้ลดลงไป เพราะรัฐจำนวนมากเกิดปัญหาทั้งภายในและระหว่างรัฐ ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความเห็นแก่ตัวของชนชั้นนำที่ร่ำรวย การไปเกี่ยวข้องสนับสนุนก่อการร้าย การถูกแทรกแซงจากประเทศยักษ์ใหญ่ต่างศาสนา และการสู้รบ ผลก็คือไม่มีชาติไหนเลยที่สามารถก้าวขึ้นมามีอิทธิพลระดับท็อปไฟว์ในการเมืองโลก แต่ที่น่าแปลกใจคือ…