SIM Swap Fraud การสวมซิมควบคุมเครื่องโทรศัพท์ โอนเงินออกจากบัญชีมีจริงหรือ?

Loading

  SIM Swap Fraud การสวมซิมควบคุมเครื่องโทรศัพท์ โอนเงินออกจากบัญชีมีจริงหรือ หลังมีแชร์ในโซเชียลเกี่ยวกับการสวมซิม หรือ SIM SWAP เพื่อควบคุมเครื่องโทรศัพท์และโอนเงินออกจากบัญชีไป   ล่าสุด 26 กรกฎาคม 2566 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ แถลงข่าว กรณีมีการหลอกลวงทางเทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า SIM SWAP FRAUD อ้างว่าขณะใช้งานโทรศัพท์อยู่ตามปกติ เครือข่ายโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ (Zero Bar) เป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน มีโทรศัพท์อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแจ้งว่ามีปัญหาเครือข่ายสัญญาณมือถือ จากนั้นแนะนำให้กด 1 เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอีกครั้ง เมื่อกด 1 เครือข่ายจะปรากฏขึ้นทันทีชั่วคราวและจะไม่มีสัญญาณอีกครั้ง (Zero Bar) ช่วงนี้คนร้ายได้ควบคุมเครื่องโทรศัพท์และโอนเงินออกจากบัญชีไป ขณะที่เจ้าของโทรศัพท์จะไม่ได้รับการแจ้งเตือนใด ๆ เนื่องจากซิมถูกเปลี่ยนขณะที่มือถือถูกตัดสัญญาณโทรศัพท์   พ.ต.อ.ก้องกฤษฎา กิตติถิระพงษ์ รองผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี(รอง ผบก.ตอท.) และ นายเลิศรัตน์ รตะนานุกูล กรรมการบริหารและประชาสัมพันธ์ สมาคมโทรคมนาคมฯ ชี้แจงว่า…

ดีอีเอสเตือนระวังมิจฉาชีพหลอกทำใบขับขี่ปลอม

Loading

  ดีอีเอสพบมิจฉาชีพแอบอ้างกรมขนส่งฯ หลอกทำใบขับปขี่ปลอมที่เว็บไซต์ www.thaidriveexam.com ระวังถูกล้วงเอาข้อมูลสำคัญ ส่วนสถานการณ์ข่าวปลอม “การลงทุน-สินเชื่อกู้ยืม” ยังว่อน เตือนอย่าเสียรู้โจร เช็กข้อมูลทุกด้านให้ดีก่อนหลงเชื่อ   นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,209,611 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 279 ข้อความ   ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 244 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 35 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 180 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 112 เรื่อง   ทั้งนี้ ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ เป็น…

ไต้หวันปฏิเสธข่าวปลอม ร่วมมือสหรัฐปั่นโซเชียลแทรกแซงเลือกตั้งไทย

Loading

    ข่าวปลอมแพร่สะพัด สำนักงานผู้แทนสหรัฐประสานกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ให้ “ปฏิบัติการ IO” ระดมเผยแพร่ข่าวเชิงลบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อหวังส่งผลต่อการเลือกตั้งของประเทศไทย   ศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงไต้หวัน (Taiwan Factcheck Center) ออกรายงานตรวจสอบข่าวปลอม โดยระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มีเอกสารทางราชการฉบับหนึ่งเผยแพร่อยู่บนโซเชียลมีเดีย โดยอ้างว่าเป็น เอกสารลับภายในกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ที่ได้รับการประสานงานจากสถาบันอเมริกาในไต้หวัน American Institute in Taiwan หรือ AIT (สถานทูตสหรัฐฯ ประจำไต้หวันโดยพฤตินัย) และทางกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ได้สั่งการให้หน่วยทหารข้อมูลข่าวสารทำการเผยแพร่ข้อมูลเชิงลบเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เพื่อบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน และขัดขวางการพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย   เอกสารปลอมดังกล่าวยังอ้างว่า ให้ทหารของไต้หวันร่วมมือกับผู้แทนสหรัฐประจำไต้หวัน ทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการกวาดล้าง “ทุนจีนสีเทา” ของรัฐบาลไทย เพื่อต้านทานอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยหวังผลต่อการเลือกตั้งของประเทศไทย ทำลายกลุ่มที่ใกล้ชิดประเทศจีน และส่งผลเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย     ข่าวปลอมดังกล่าวแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ของไต้หวัน ฮ่องกง จีน รวมทั้ง โดยอ้างว่า กระทรวงกลาโหมไต้หวันร่วมมือกับสหรัฐ ทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งของไทย…

Save พ่อแม่จากเฟกนิวส์ : ลูกหลานสื่อสารอย่างไร เมื่อผู้สูงวัยเชื่อกลุ่มไลน์มากกว่าข้อเท็จจริง

Loading

    ตั้งแต่อิลูมินาติ จนถึง CIA ตั้งฐานทัพในประเทศไทย หรือพระธาตุที่หน้าตาคล้ายซิลิก้าเจล จนถึงการดื่มปัสสาวะรักษาโรค – ข้อมูลข่าวสารมากมายที่แชร์กันผ่านกลุ่มไลน์ อาจยากที่จะแยกว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ยิ่งหากเป็นข้อมูลที่มาจากเพื่อนสนิท หรือคนที่ไว้ใจ ก็อาจทำให้หลายคนหลงเชื่อ โดยไม่คิดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม   โดยทั่วไป เรามักพบว่ากลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของ ‘เฟกนิวส์’ โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คือ กลุ่มผู้สูงอายุ ยิ่งหากว่าเฟกนิวส์ต่างๆ มาจากช่องทางที่ผู้สูงอายุติดตามเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นรายการข่าวที่โปรดปราน หรือกลุ่มเพื่อนสนิทวัยเก๋าที่ไว้ใจ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่า ปู่ย่าตายายของเราจะเชื่อข้อมูลเหล่านั้น โดยไม่คิดหาเหตุผลโต้แย้ง   มีการศึกษาที่พบว่า ผู้สูงอายุมักตกเป็นเหยื่อของเฟกนิวส์ง่ายกว่าช่วงอายุอื่นๆ โดยการศึกษาพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียในสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มักแชร์บทความที่ไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ สูงกว่าคนที่อายุระหว่าง 18-29 ปี ถึง 7 เท่า   อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเทศไทย ระบุว่าผู้สูงอายุที่มีการใช้สื่อดิจิทัลเพิ่มขึ้น มักแชร์ข้อมูลต่างๆ ออกไปด้วยความปรารถนาดี แต่ปัญหาคือ ก่อนแชร์ข้อมูลมักไม่ทันได้ตรวจสอบว่า ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เป็นข้อมูลที่มีความคิดเห็นเจือปน…

โจรไซเบอร์แสบ! ปั่นข่าวปลอม “ออมสิน” ปล่อยสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย คนแห่สนใจอันดับ 1

Loading

    ดีอีเอส ออกโรงเตือนประชาชนระวังโจรไซเบอร์ หลังประชาชนแห่สนใจเรื่องการกู้เงินออนไลน์ให้วงเงินสูง ปลอดดอกเบี้ย หลังมิจฉาชีพปลอมตัวเป็นธนาคารออมสิน ปล่อยสินเชื่อเงินกู้ฉุกเฉิน ขณะที่ข่าวปลอม ครม. อนุมัติถอนเงินชราภาพได้ก่อน 30% กดรับสิทธิผ่านลิงก์ ขึ้นแท่นข่าวปลอมที่คนสนใจสูงสุด   ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และโฆษกกระทรวงดีอีเอส เปิดเผยว่า ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่  12-18 พฤษภาคม 66 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,189,887 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 274 ข้อความ โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 240 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 34 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 189 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 85 เรื่อง…

จีนกวาดล้างข่าวปลอม สั่งปิดบัญชีโซเชียลแล้วกว่า 100,000 บัญชี

Loading

    หน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของจีนระบุว่า จีนได้เพิ่มความพยายามในการกวาดล้างข้อมูลข่าวปลอมบนอินเทอร์เน็ต โดยปิดบัญชีออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปแล้วกว่า 100,000 บัญชีในช่วงเดือนที่ผ่านมา   หน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของจีน (CAC) ได้เริ่มต้นการดำเนินการพิเศษเพื่อกวาดล้างข้อมูลออนไลน์ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นไปกับบัญชีโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ “ข่าวปลอม” และแอบอ้างเป็นสื่อที่รัฐควบคุม โดยหน่วยงานระบุว่าตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน เป็นต้นมา ได้กวาดล้างบัญชีสำนักข่าวปลอมไปแล้วกว่า 107,000 บัญชี และลบข้อมูลข่าวปลอมไปแล้วกว่า 835,000 รายการ   ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่จีนและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังต่อสู้กับข้อมูลข่าวปลอมบนโลกออนไลน์ โดยมีกฎหมายหลายฉบับที่บังคับใช้เพื่อลงโทษผู้กระทำผิด   อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ของจีนนั้นถูกควบคุมอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว โดยแพลตฟอร์มอย่าง Weibo ที่มีลักษณะคล้ายกับ Twitter ซึ่งนิยมใช้แฮชแท็กที่จัดทำโดยสื่อของรัฐ ขณะเดียวกันทางการก็จะเซ็นเซอร์แฮชแท็กในประเด็นหรือเหตุการณ์ที่ถือว่าละเอียดอ่อน   หน่วยงานระบุว่า จากการตรวจสอบบัญชีที่แอบอ้างเป็นสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ บัญชีเหล่านี้จะทำการปลอมแปลงฉากในสตูดิโอและเลียนแบบผู้ประกาศข่าวมืออาชีพโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)   ทั้งนี้ บ่อยครั้งที่รัฐบาลจีนออกคำสั่งเพื่อควบคุมและกวาดล้างเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตที่เห็นว่าไม่เหมาะสม และเป็นภัยคุกคามต่อสาธารณะและภาคธุรกิจ ขณะที่ไม่นานมานี้ หน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์ยังให้คำมั่นว่าจะปราบปรามความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ที่บ่อนทำลายชื่อเสียงของธุรกิจและผู้ประกอบการ            …