กองทัพสหรัฐฯอาจประจำการ “นักรบไซบอร์ก” ภายในปี 2050

Loading

กองบัญชาการพัฒนาความสามารถในการรบ (CCDC) ของกองทัพสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่า เทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยเสริมสมรรถนะการมองเห็น การได้ยิน และการใช้กล้ามเนื้อให้กับทหารอเมริกันนั้น จะพร้อมนำมาใช้งานได้ภายในปี 2050 และจะทำให้แผนประจำการ “นักรบไซบอร์ก” ในกองทัพ มีความเป็นไปได้สูงในอนาคตอันใกล้นี้ รายงานดังกล่าวมีชื่อว่า “ทหารไซบอร์ก 2050: การผสมผสานมนุษย์กับเครื่องจักร และผลกระทบต่ออนาคตของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ” ได้ระบุถึงความสามารถทางเทคโนโลยีชีวภาพ 4 ด้าน ที่ผ่านการประเมินแล้วว่าน่าจะพร้อมใช้งานกับทหารที่เป็นมนุษย์ได้ ภายใน 30 ปีข้างหน้า ซึ่งได้แก่การเสริมสมรรถนะดวงตา หู กล้ามเนื้อ และสมอง ทีมนักวิจัยผู้จัดทำรายงานดังกล่าวระบุว่า การสร้างนักรบไซบอร์กที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมประสิทธิภาพของระบบประสาทในสมองโดยตรง จะนำไปสู่การปฏิวัติกลยุทธ์ดำเนินแผนการรบสมัยใหม่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ดวงตาของนักรบไซบอร์กจะสามารถมองเห็นและประกอบสร้างภาพได้ชัดเจนขึ้น ช่วยให้การระแวดระวังภัยและการรับรู้สถานการณ์รอบข้างดีขึ้น หูไซบอร์กช่วยให้การสื่อสารและระบบคุ้มกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเทคนิคพันธุศาสตร์เชิงแสง (Optogenetics) ซึ่งใช้หลักพันธุวิศวกรรมทำให้โมเลกุลไวแสงเข้าควบคุมกิจกรรมภายในเซลล์นั้น จะช่วยวางโปรแกรมควบคุมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อของนักรบไซบอร์ก ผ่านการสวมชุดบอดี้สูทแนบเนื้อที่มีตาข่ายเซนเซอร์แทรกอยู่ทั่วตัวด้วย “เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การสื่อสารและโอนถ่ายข้อมูลระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร รวมทั้งการสื่อสารทางสมองโดยตรงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เป็นไปได้ ทหารไซบอร์กยังสามารถสื่อสารกับพาหนะไร้คนขับและบังคับระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้การบัญชาการและปฏิบัติการรบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” รายงานล่าสุดระบุ นอกจากเทคโนโลยีด้านการทหารแล้ว รายงานข้างต้นยังชี้ว่า การใช้งานไซบอร์กจะแพร่หลายในสังคมพลเรือนภายในช่วง 30 ปีข้างหน้าด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานด้านสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง…

ระทึก!สหรัฐฯปิดตายทำเนียบขาว,ส่งฝูงบินขึ้นสกัด พบอากาศยานปริศนาโฉบเข้าเขตหวงห้าม

Loading

เอเอฟพี/ซีเอ็นบีซี – เจ้าหน้าที่สหรัฐฯต้องปิดการเข้าออกทำเนียบขาวและอาคารรัฐสภาในตอนเช้าวันอังคาร (26 พ.ย.) พร้อมกับส่งฝูงบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังพบเครื่องบินที่ไม่ได้รับอนุญาตลำหนึ่งบินเข้าสู่น่านฟ้าหวงห้ามเหนือกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หน่วยสืบราชการลับ (Secret Service agents) ออกประกาศปิดการเข้าออก โดยอ้างคำสั่ง shelter in place (ให้หลบภัยในสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในขณะนั้น) หลังจากหอควบคุมการบินขาดการติดต่อกับเครื่องบินลำดังกล่าว จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวตำรวจรัฐสภา อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวรายนี้ไม่ทราบว่าเครื่องบินชนิดใดที่เป็นต้นตอของการแจ้งเตือนครั้งนี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่าฝูงบินรบทะยานขึ้นจากฐานทัพอากาศแอนดรูว์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักและมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารจัดการการจราจรของเครื่องบินประธานาธิบดี “แอร์ฟอร์ซวัน” กองบัญชาการป้องกันอวกาศอเมริกาเหนือ(NORAD) ระบุในว่าฝูงบินกำลังมุ่งหน้าสู่จุดเกิดเหตุและตอบสนองต่อสถานการณ์ อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่า “ณ ขณะนี้ เครื่องบินซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าละเมิดน่านฟ้าของเมืองหลวงสหนัฐฯ ยังไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นศัตรู” รายงานข่าวระบุว่าพวกคนงานก่อสร้างซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงรั้วทำเนียบขาวได้รับแจ้งให้ออกจากพื้นที่โดยด่วนตอนราวๆ 8.30น.ตามเวลาท้องถิ่น ในขณะที่ทำเนียบขาวอยู่ภายใต้การคำสั่งปิดการเข้าออก ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งอ้างว่าพบเห็นความเคลื่อนไหวที่บริเวณฐานยิงขีปนาวุธแท่นหนึ่งใกล้อาคารรัฐสภา จุดที่อยู่ภายใต้คำสั่งปิดการเข้าออกเช่นกัน ขณะเดียวกันบรรดาพวกผู้สื่อข่าวที่อยู่ภายในห้องแถลงข่าว ได้รับคำแนะนำให้อยู่แต่ภายในห้องและมีการล็อคประตูจากภายนอก คนงานก่อสร้างรายหนึ่งเปิดเผยกับเดลิเมล์ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับในชุดเครื่องแบบรายหนึ่งซึ่งกำลังลาดตระเวนอยู่ซีกตะวันออกของทำเนียบขาวบอกว่า “ให้ทุกคนออกไป มีคำสั่ง shelter in place” ส่วนอีกคนยืนยันว่า “มีสถานการณ์ฉุกเฉินภายใน เราต้องการให้คุณไปหลบภัยตรงนั้น” พร้อมกับชี้ไปฝั่งตรงข้ามถนนหมายเลข 17 อนึ่งวอชิงตันอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการใช้น่านฟ้าอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะห์จี้เครื่องบินโดยสารโจมตีทั้งในนิวยอร์กและวอชิงตัน ———————————————–…

โปรดเกล้าฯ ประกาศนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคง

Loading

เป็นไปตาม รธน. มาตรา 52 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ปี 2560 เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุปัญหาอ้างความเท็จบ่อนทำลายสถาบันฯ รวมถึงความผูกพันของเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีต่อสถาบันฯ น้อยลงเนื่องจากขาดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสถาบันฯ 22 พ.ย. 2562 วันนี้ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศเรื่อง นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2562-2565) ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบให้ประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2562-2565 ) ตามบทบัญญัติมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2559 เพื่อเป็นแผนหลักของชาติที่เป็นกรอบทิศทางการดำเนินการป้องกัน แจ้งเตือน แก้ไข หรือระงับยับยั้งภัยคุกคามเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีสาระสำคัญตามที่แนบท้ายนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ใช้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2562-2565) ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ประกาศ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่…

สหรัฐฯ อาจลดการแชร์ข้อมูลข่าวกรองกับแคนาดา หากแคนาดาเลือกใช้เทคโนโลยี 5G ของ Huawei

Loading

ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยระดับชาติของสหรัฐฯ ได้เตือนแคนาดาว่าอย่าใช้เทคโนโลยี 5G ของบริษัท Huawei โดยระบุว่าจะทำข่าวกรองที่แชร์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ตกอยู่ในอันตราย รวมถึงสุ่มเสี่ยงต่อการที่ประชาชนชาวแคนาดาจะถูกเก็บข้อมูลโดยรัฐบาลจีนอีกด้วย Robert O’Brien ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในระหว่างงานสัมมนาด้านความปลอดภัยที่ Halifax ว่า หากพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเราเลือกที่จะเปิดให้ม้าโทรจันเข้ามาอยู่ในเมือง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการแชร์ข้อมูลข่าวกรองได้ ถ้าพวกเขา (หมายถึงจีน) นำ Huawei เข้ามาที่แคนาดาหรือประเทศแถบตะวันตกอีกหลายประเทศ ก็จะรู้ข้อมูลด้านสุขภาพ, การธนาคาร, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พวกเขาจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชาวแคนาดาแต่ละคน ส่วนฝ่ายแคนาดาโดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Harjit Sajjan ที่อยู่ในงาน Halifax ด้วย ระบุว่าแคนาดาต้องใช้เวลาสักระยะที่จะสามารถพิจารณาภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรอบด้าน ปัจจุบัน ประเทศที่แบนเทคโนโลยี 5G ของ Huawei ไปแล้วก็มีสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในขณะที่อังกฤษนั้นยังไม่ได้แบนแต่เลือกที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของ Huawei ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ —————————————— ที่มา : Blognone / 24 November 2019 Link : https://www.blognone.com/node/113309

ศาลสหรัฐฯ สั่งจำคุก 19 ปี ‘อดีตซีไอเอ’ ทำงานเป็นสายลับให้จีน

Loading

รอยเตอร์ – อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ถูกศาลแขวงรัฐเวอร์จิเนียตัดสินจำคุกเป็นเวลา 19 ปีวานนี้ (22 พ.ย.) หลังศาลพิพากษาเมื่อเดือน พ.ค. ว่ามีความผิดฐานเป็นสายลับให้รัฐบาลจีน เจอร์รี ชุน ชิง ลี (Jerry Chun Shing Lee) วัย 55 ปี ลาออกจากซีไอเอในปี 2007 และย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกง ต่อมาในปี 2010 เขาได้รับการติดต่อทาบทามจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองจีน ซึ่งเสนอจะให้ค่าตอบแทน 100,000 ดอลลาร์ และให้ความคุ้มครอง “ตลอดชีวิต” หากยอมเผยข้อมูลลับของสหรัฐฯ ที่เขาได้ล่วงรู้มาขณะเป็นซีไอเอ เงินสดหลายแสนดอลลาร์ถูกโอนเข้าบัญชีของ ลี ในช่วงระหว่างปี 2010-2013 เพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานของเขา “แทนที่จะแสดงความรับผิดชอบและเคารพต่อคำมั่นสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลด้านกลาโหมของชาติ ลี กลับเลือกที่จะทรยศต่อประเทศของเขา ยอมเป็นสายลับให้รัฐบาลต่างชาติ และยังให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนหลายครั้ง” แซคคารี เทอร์วิลลิเกอร์ อัยการประจำแขวงตะวันออกเวอร์จิเนีย ระบุในถ้อยแถลง จากข้อมูลของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เอฟบีไอได้เข้าตรวจค้นห้องพักของ ลี ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในฮาวายเมื่อเดือน ส.ค. ปี…

ฝึกต่อต้านก่อการร้ายไทย-จีน ครั้งประวัติศาสตร์

Loading

กองทัพไทย-จีน ปิดการฝึกภาคสนามของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้ายฯ ที่สาธารณประชาชนจีน หลังผ่านการฝึกที่เข้มข้นเพื่อรับมือสถานการณ์ก่อการร้าย วันนี้ (22 พ.ย.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (21พ.ย.62) พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.Li Zuocheng เสนาธิการกรมกิจการเสนาธิการร่วม คณะกรรมาธิการกลางการทหาร กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการฝึกภาคสนามของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน การฝึกครั้งนี้ สามารถพัฒนาระบบเตรียมกำลังรบและการพัฒนากลไกการปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายตามระเบียบปฏิบัติประจำของกองกำลังร่วมผสมการต่อต้านการก่อการร้ายในเมืองให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศสมาชิกได้เข้าใจถึงกระบวนการปฏิบัติของกำลังร่วมผสม ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการ นำไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง ทั้งนี้จะส่งผลให้ประเทศสมาชิกมีความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามจากภัยการก่อการร้าย และภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายให้แก่ประชาคมโลก เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงในภูมิภาค เสริมสร้างความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างยั่งยืน การฝึกภาคสนามของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้ายครั้งนี้ กองทัพไทยและกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ร่วมจัดการฝึกขึ้น ณ เฟ็งหลิน เทรนนิ่ง ฟิลด์ เขตหยางฉาน เมืองกุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีกำลังพลเข้าร่วมการฝึกจาก 18 ประเทศ รวม 855 นาย โดยกองทัพไทยส่งกำลังพลเข้าร่วมการฝึก 101 นาย…