ฮาวานา ซินโดรม

Loading

  รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเผชิญแรงกดดันใหม่ ในการไขปริศนาปรากฏการณ์ลึกลับ ที่สร้างปัญหารบกวนรัฐบาลชุดที่แล้ว นั่นคือ การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงมาก หรือ ไมโครเวฟ หรืออาจจะเป็นคลื่นวิทยุ โจมตีเจ้าหน้าที่การทูต สายลับ หรือทหารสหรัฐ จำนวนครั้งเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นการโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างมาก สมาชิกสภาคองเกรส ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน รวมทั้งกลุ่มผู้ที่เชื่อว่าตนเองตกเป็นเหยื่อ ประสานเสียงเรียกร้องขอคำตอบจากรัฐบาล จนถึงขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ ยังไม่สามารถตอบได้ว่า เหตุการณ์ต่อเนื่องนี้เป็นการโจมตีหรือไม่ หรือใครอยู่เบื้องหลัง หรือแม้แต่มีคนตั้งข้อสงสัยว่า อาจเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ จากความผิดพลาดของระบบอุปกรณ์สอดแนมหรือไม่ หากผลสรุปการสอบสวน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐถูกโจมตี หลายฝ่ายเชื่อว่า การแก้แค้นเอาคืนแบบสาสมจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน   Reuters ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสซี) กำลังเร่งสอบสวน ทั้งในทางลับและโดยเปิดเผย ระดมทุกทรัพยากรเข้าช่วย เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะได้คำตอบ ปัญหาที่เกิดขึ้นถูกเรียกขานว่า “ฮาวานา ซินโดรม” เนื่องจากเหตุเกิดเป็นครั้งแรก กับเจ้าหน้าที่ในสถานทูตสหรัฐประจำคิวบา ในกรุงฮาวานา เมื่อปี 2559 และปีนี้ทางการสหรัฐกำลังสอบสวน เหตุเกิดกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล อย่างน้อย 130…

สหรัฐสอดแนมยุโรปผ่านระบบเคเบิลใต้น้ำเดนมาร์ก

Loading

  สำนักงานข่าวกรองเดนมาร์ก “ช่วยเหลือ” สหรัฐ ด้วยการให้สอดแนมความเคลื่อนไหวของนักการเมืองคนสำคัญในยุโรปหลายคน รวมถึงนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ผ่านสถานีเคเบิลใต้น้ำในประเทศ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 31 พ.ค. โดยอ้างจากรายงานของสถานีโทรทัศน์ดีอาร์จากเดนมาร์ก ว่า สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ( เอ็นเอสเอ ) ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองที่มีภารกิจทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การกำกับดูแลโดยประทรวงกลาโหมของสหรัฐ อาศัย “ความร่วมมือ” จากสำนักงานข่าวกรองของเดนมาร์ก ระหว่างปี 2555 – 2557 สอดแนมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศในทวีปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสวีเดน นอร์เวย์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี   BREAKING: Denmark's secret service has helped the United States spy on German Chancellor Angela Merkel and other European politicians.https://t.co/loxpAw6UKg — DW News…

ไมโครซอฟท์เผยแฮกเกอร์ ‘โซลาร์วินด์ส’ โจมตี 150 องค์กรด้วย ‘ฟิชชิง’ อีเมล์

Loading

  บริษัทไมโครซอฟท์เปิดเผยว่า กลุ่มแฮคเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ที่อยู่เบื้องหลังการแฮก “โซลาร์วินด์ส” เพื่อล้วงข้อมูลหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลเมื่อปีที่ผ่านมา ได้ทำการโจมตีทางไซเบอร์หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมทั้งสถาบันคลังสมอง หรือ think tanks ในสัปดาห์นี้ ด้วยการใช้เทคนิค สเปียร์ ฟิชชิง หรือการโจมตีโดยมีเป้าหมายแน่ชัด ผ่านการใช้อีเมล์ของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ หรือยูเอสเอด (U.S. Agency for International Development) นาย ทอม เบิร์ท รองประธานของไมโครซอฟท์ กล่าวในบล็อกโพสท์ในตอนค่ำของวันพฤหัสบดีว่า การโจมตีดังกล่าว มุ่งเป้าไปที่อีเมล์จำนวน 3,000 อีเมล์ขององค์กรมากกว่า 150 แห่ง ซึ่งอย่างน้อยหนึ่งในสี่ขององค์กรเหล่านั้น ทำงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระหว่างประเทศ การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และงานด้านสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ไม่ได้ระบุในบล็อกโพสท์ว่าความพยายามของกลุ่มแฮ็คเกอร์ดังกล่าวสำเร็จมากน้อยเพียงใด ด้าน Volexity บริษัทรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ซึ่งทำการติดตามการแฮกดังกล่าว แต่ไม่มีความสามารถในการติดตามจากระบบอีเมล์มากเท่ากับไมโครซอฟท์ รายงานว่า อัตราการตรวจจับอีเมล์ฟิชชิงที่มีอยู่น้อย บ่งบอกว่า กลุ่มแฮกเกอร์ “น่าจะประสบความสำเร็จพอสมควรในการแทรกซึมเป้าหมาย” รองประธานไมโครซอฟท์ ยังกล่าวด้วยว่า การโจมตีในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียมีความพยายามอย่างต่อเนื่องหลายครั้งในการ…

กระทรวงความมั่นคงฯ เตือนกลุ่มสุดโต่งอาจฉวยโอกาสโจมตีหลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19

Loading

    เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ หรือ DHS ออกคำเตือนใหม่ซึ่งระบุว่าการผ่อนคลายมาตรการจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 อาจทำให้กลุ่มสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงใช้เป็นโอกาสเพื่อโจมตีในสหรัฐฯ ได้ การผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ กังวลว่าสภาพแวดล้อมของการควบคุมที่เปลี่ยนไปอาจทำให้กลุ่มแนวคิดแบบสุดโต่งหลายกลุ่มฉวยโอกาสเพื่อโจมตีครั้งใหม่ได้ โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ได้เตือนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่าสภาพแวดล้อมของภัยคุกคามขณะนี้มีทั้งความผันผวนและความสลับซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงที่มีมาตรการควบคุมเรื่องโควิด-19 อย่างเข้มงวดและมีการจำกัดจำนวนคนในสถานที่สาธารณะต่างๆ คำเตือนของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ดังกล่าวไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับภัยคุกคามอย่างเฉพาะเจาะจงเพียงแต่ระบุว่าภัยคุกคามอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากกลุ่มแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงภายในประเทศหรือที่มีชื่อย่อโดยรวมว่า DVE และจากกลุ่มสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงซึ่งมีสาเหตุจูงใจจากเรื่องเชื้อชาติหรือชาติพันธ์หรือที่เรียกว่ากลุ่ม RMVE ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มักมุ่งเป้าโจมตีสถานที่สักการะทางศาสนา สถานที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนจำนวนมาก รวมทั้งที่ตั้งของหน่วยงานรัฐบาลเป็นต้น พร้อมทั้งยังเตือนว่ากลุ่มสุดโต่งที่นิยมแนวทางรุนแรงเหล่านี้กำลังผลักดันข่าวสารการโฆษณาชวนเชื่อทั้งทางออนไลน์และทางสื่อสังคมต่างๆ เพื่อพยายามฉวยประโยชน์จากความไม่พอใจด้านความไม่ยุติธรรมทางสังคมและเชื้อชาติและความกังวลเกี่ยวกับการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ เป็นต้น แต่นอกจากภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศแล้ว กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ยังเตือนเรื่องภัยคุกคามจากนอกประเทศ เช่น จากกลุ่มรัฐอิสลามหรือ IS กลุ่มอัลไคด้า และจากบางประเทศ เช่นรัสเซียกับจีนเป็นต้น โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้ระบุในคำแถลงว่าทางกระทรวงได้เพิ่มความพยายามขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อตรวจจับและสกัดกั้นการก่อการร้ายทั้งจากภายในและภายนอกประเทศรวมทั้งการใช้กำลังรุนแรงซึ่งมุ่งต่อเป้าหมายต่างๆ ขณะที่พยายามปกปักรักษาความเป็นส่วนตัวของประชาชนรวมทั้งสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองด้วย คำเตือนจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่ว่านี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ทางกระทรวงประกาศเรื่องการตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรองและรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายในประเทศโดยเฉพาะ คำเตือนเรื่องภัยคุกคามดังกล่าวดูจะสอดคล้องกับคำเตือนจากภาคเอกชนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งนายโคลิน คล้าก ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและวิจัยของ The Soufan Group บริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและข่าวกรองได้กล่าวไว้ระหว่างการประชุมออนไลน์ว่า ขณะที่คนอเมริกันต้องการจะกลับคืนสู่สภาวะปกติหลังโควิด-19 นั้นการผ่อนคลายเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดจุดอ่อนและความเสี่ยงตามมา เพราะจะเป็นโอกาสให้กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เร่งสร้างเครือข่าย รับสมัครสมาชิกใหม่ ระดมหาทุนและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้ง่ายขึ้น เมื่อต้นปีนี้ สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ…

ก.ความมั่นคงภายในสหรัฐฯ ตั้งหน่วยงานใหม่รับมือ ‘ก่อการร้ายในประเทศ’

Loading

  นายอเลฮานโดร มายอร์คาส (Alejandro Mayorkas) รัฐมนตรีว่ากระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิสหรัฐฯ (Homeland Security) ประกาศเมื่อวันพุธว่า จะมีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองแห่งใหม่ภายใต้สังกัดกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ ซึ่งจะทำหน้าที่รับมือ ‘แนวคิดรุนแรงสุดโต่งในประเทศ’ โดยเฉพาะ รัฐมนตรีมายอร์คาส กล่าวต่อคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า หน่วยงานใหม่นี้จะใช้การรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพและทันเหตุการณ์เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากแนวคิดสุดโต่งในอเมริกา รวมทั้งเพิ่มกำลังและทรัพยากรต่าง ๆ ในการดำเนินการด้านนี้ด้วย การเปิดเผยแผนจัดตั้งหน่วยงานใหม่นี้มีขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในประเทศ หลังจากบรรดาเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายเตือนว่า กลุ่มแนวคิดรุนแรงสุดโต่งในอเมริกาอาจเกิดความฮึกเหิมขึ้นจากเหตุการณ์บุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม โดยกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จัดให้การต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายในประเทศเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของรัฐบาลชุดนี้ พร้อมทั้งสั่งการให้สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ (Office of the Director of National Intelligence – ODNI) จัดทำรายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามจากแนวคิดรุนแรงสุดโต่งในประเทศ ซึ่ง ODNI เปิดเผยรายงานเมื่อเดือนมีนาคมว่า กลุ่มแนวคิดรุนแรงสุดโต่งได้ยกระดับการคุกคามในประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้ ด้าน จิล แซนบอร์น…

สหรัฐฯ พบ จีนทุ่มเงินนับสิบล้านผ่านกิจการสื่อเพื่อขยายอิทธิพลในหมู่ชาวอเมริกัน

Loading

รายงานล่าสุดจากหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่า จีนได้ทุ่มงบประมาณสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพื่อลงทุนในธุรกิจกระจายเสียงและกิจการสื่อต่างๆ ของตน เพื่อขยายอิทธิพลในสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา รายงานการตรวจสอบภายใต้กฎหมาย Foreign Agents Registration Act (FARA) ของสหรัฐฯ ที่รวบรวมโดย Center for Responsive Politics ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยอิสระไม่หวังผลกำไรในกรุงวอชิงตัน ระบุว่า สถานีโทรทัศน์ China Global Television Network (CGTN) ซึ่งรัฐบาลกรุงปักกิ่งเป็นเจ้าของ ทุ่มงบจำนวนกว่า 50 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายการปฏิบัติการในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว โดยงบนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของการใช้จ่ายของรัฐบาลจีนในการสร้างอิทธิพลต่อความคิดเห็นของชาวอเมริกันและนโยบายของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ CGTN เริ่มออกอากาศในสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2012 สถานีโทรทัศน์จีนแห่งนี้ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขเม็ดเงินที่ลงทุนในสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์นัก และรายงานการใช้จ่ายบางส่วนที่ประมาณ 43 ล้านดอลลาร์สำหรับปี ค.ศ. 2019 อย่างไรก็ดี การเปิดเผยตัวเลขที่ครบถ้วนที่ใช้จ่ายในปีที่แล้วออกมาของ CGTN ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ทำให้ทีมงานผู้รวบรวมข้อมูลสรุปได้ว่า จีนใช้เงินเกือบ 64…