ข้อมูลลูกค้าสำนักงานกฎหมายระดับโลกอาจรั่ว หลัง CL0P อาละวาดหนัก

Loading

  ข้อมูลลูกค้าของ Kirkland & Ellis, K&L Gates และ Proskauer Rose สำนักงานกฎหมายชั้นนำของสหรัฐอเมริกาอาจหลุดรั่ว หลังโดนแฮ็กครั้งใหญ่   ผู้ที่อ้างว่าอยู่เบื้องหลังคือกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ชื่อว่า Lance Tempest ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับแฮ็กเกอร์ระดับโลกอย่าง CL0P ซึ่งอ้างว่าได้โจมตีบริษัทข้ามชาติอีก 50 แห่งไปด้วยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา   การแฮ็กดังกล่าวเกิดจากการเจาะผ่านช่องโหว่ของ MOVEit ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่หลายองค์กรทั่วโลกใช้ในการส่งไฟล์   สำหรับ CL0P เป็นกลุ่มที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย มักจะรีดไถเงินจากเหยื่อเป็นจำนวนหลายล้านเหรียญ และมักจะโจมตีในช่วงวันหยุดยาว   เบรตต์ คัลโลว (Brett Callow) ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ชี้ว่าการแฮ็กครั้งนี้อาจมีผู้เสียหายสูงถึง 16 ล้านคน โดยบรรดาองค์กรที่ถูกแฮ็กมีทั้งมหาวิทยาลัย ธนาคาร และบริษัทประกัน   เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตั้งค่าหัวมูลค่า 10 ล้านเหรียญ (ราว 351 ล้านบาท) แก่ผู้แจ้งเบาะแสของกลุ่มดังกล่าว     ที่มา…

โลกยินดี! สหรัฐทำลายอาวุธเคมีคลังแสงสุดท้าย

Loading

    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศ สหรัฐทำลายคลังแสงอาวุธเคมีที่สั่งสมมาหลายสิบปีหมดสิ้นแล้ว ถือเป็นหมุดหมายสำคัญว่าได้กำจัดอาวุธเคมีทั่วโลกตามที่สำแดงไว้หมดแล้ว   Key points:   สหรัฐทำลายอาวุธเคมีคลังแสงสุดท้ายเกือบ 500 ตันเสร็จสิ้นแล้ว   คลังแสงอาวุธเคมีทั่วโลกตามที่สำแดงไว้ถูกทำลายลงอย่างถาวร   ไบเดนวอน 4 ชาติปฏิบัติตาม ได้แก่ อียิปต์ อิสราเอล เกาหลีเหนือ และซูดานใต้   4 ชาติต้องสงสัยมีคลังแสง ไม่สำแดง ได้แก่ เมียนมา อิหร่าน รัสเซีย และซีเรีย   สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น   “วันนี้ ผมภาคภูมิใจที่จะประกาศว่า สหรัฐทำลายอาวุธชุดสุดท้ายในคลังแสงได้อย่างปลอดภัย ทำให้เราเข้าใกล้โลกที่ปราศจากความกลัวอาวุธเคมีได้อีกระดับหนึ่ง” ไบเดนกล่าวและว่า นี่เป็นครั้งแรกที่”อาวุธทำลายล้างสูงที่ได้ประกาศไว้” ได้รับการยืนยันว่าถูกทำลายลงทั้งหมด”   สหรัฐเป็นประเทศผู้ลงนามอนุสัญญาอาวุธเคมีรายสุดท้าย ที่เสร็จสิ้นภารกิจทำลายล้างคลังแสง “ตามที่สำแดง” อนุสัญญานี้มีผลบังคับใช้ในปี…

สังคมโลก : การทูตเรือดำน้ำ

Loading

แนวคิดที่เรียกว่า “การทูตเครื่องบินทิ้งระเบิด” ซึ่งสหรัฐใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ บี-52 กับ บี-1 ร่วมกับเครื่องบินขับไล่ พร้อมกับส่งข้อความเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการป้องปราม ไปยังจีนและเกาหลีเหนือ หรือรัสเซีย ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรของสหรัฐ   แม้การป้องปราม หรือการสร้างความมั่นใจ จะทำได้โดยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด แต่ดูเหมือนตอนนี้ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นเรือดำน้ำติดตั้งขีปนาวุธนำวิถีพลังงานนิวเคลียร์ (เอสเอสบีเอ็น) กำลังเข้าสู่ภารกิจเดียวกัน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น “การทูตเรือดำน้ำ”   เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สหรัฐกับเกาหลีใต้ร่วมลงนามในเอกสารฉบับใหม่ที่เรียกว่า “ปฏิญญาวอชิงตัน” ซึ่งสหรัฐให้คำมั่นที่จะยกระดับการมองเห็นทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์ในคาบสมุทรเกาหลีให้มากขึ้น ตลอดจนขยายและกระชับความร่วมมือระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น   นอกเหนือจากการตัดสินใจก่อตั้งหน่วยงานใหม่ระหว่างสองประเทศตามปฏิญญาวอชิงตัน ซึ่งเรียกว่า “กลไกความร่วมมือที่ปรึกษานิวเคลียร์” (เอ็นซีจี) แนวคิดของการส่งเอสเอสบีเอ็นไปเทียบท่าในเกาหลีใต้ ถูกมองว่าเป็นมาตรการสร้างความมั่นใจใหม่ที่รัฐบาลโซลได้รับจากสหรัฐ โดยแลกกับการที่เกาหลีใต้ต้องยึดมั่นและปฏิบัติตามสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (เอ็นพีที)   อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่เสียทีเดียว เนื่องจากมันเคยปรากฏในรายงาน การทบทวนสถานการณ์นิวเคลียร์ (เอ็นพีอาร์) เมื่อเดือน ต.ค. 2565 ว่าสหรัฐจะทำงานร่วมกับพันธมิตรและหุ้นส่วน เพื่อหาโอกาสในการเพิ่มการมองเห็นของทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจอันแน่วแน่ของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น การเทียบท่าของเรือดำน้ำติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี…

เจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบสารโคเคนที่ทำเนียบขาว

Loading

เมื่อ 2 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ (The United States Secret Service – USSS) เข้าตรวจสอบสถานที่ทำเนียบขาวตามภารกิจเวลา 18.00 น. และค้นพบผงสีขาวต้องสงสัยบริเวณส่วนกลางของพื้นที่ปีกตะวันตกในทำเนียบขาว จึงได้ยกระดับแจ้งเตือนความปลอดภัย โดยสั่งอพยพเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากอาคารและปิดทำเนียบขาวเป็นการชั่วคราว รวมถึงเรียกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพร้อมด้วยทีมวัตถุอันตรายของหน่วยงานดับเพลิงและบริการการแพทย์ฉุกเฉินเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย (DC Fire & EMS) เข้าตรวจสอบเวลา 20.49 น. ซึ่งผลทดสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นโคเคน ด้านนาย Anthony Guglielmi โฆษกของ USSS กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบสารดังกล่าวเพิ่มเติม รวมทั้งสอบสวนหาสาเหตุและวิธีการนำสารเข้ามายังทำเนียบขาว และอ้างถึงหน่วยงาน DC Fire & EMS ที่ระบุว่าสารซึ่งพบในพื้นที่นั้น “ไม่ถือเป็นภัยคุกคาม” ทั้งนี้ ขณะพบสารดังกล่าวประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบขาว —————————————————————————————————————————————— ที่มา :               …

สหรัฐฯ เตือนพลเมืองเลี่ยงเดินทางไป ‘จีน’ อ้างมีความเสี่ยง ‘ถูกจับโดยพลการ’

Loading

    สหรัฐฯ ประกาศเตือนพลเมืองให้ทบทวนการเดินทางไปจีน โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อการบังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจ การถูกห้ามออกนอกประเทศ รวมถึงการถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม   ทางการสหรัฐฯ ไม่ได้ยกเคสตัวอย่างมาประกอบ แต่คำเตือนนี้มีขึ้นหลังจากที่พลเมืองอเมริกันวัย 78 ปี ถูกศาลจีนพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในความผิดฐานเป็นสปาย เมื่อเดือน พ.ค.   สัปดาห์ที่แล้ว จีนเพิ่งผ่านร่างกฎหมายความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Foreign Relations Law) ที่กำหนดมาตรการตอบโต้ต่อบุคคลหรือองค์กรซึ่งบ่อนทำลายผลประโยชน์ของจีน และก่อนหน้านั้นก็มีการแก้ไขกฎหมายต่อต้านการจารกรรม โดยขยายคำนิยาม “การจารกรรม” ให้กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม รวมถึงออกกฎหมายแซงก์ชั่นพวกนักวิจารณ์ต่างชาติด้วย   “รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นอย่างคลุมเครือ รวมถึงมีการห้ามไม่ให้พลเมืองสหรัฐฯ และพลเมืองชาติอื่น ๆ เดินทางออกจากจีน โดยปราศจากกระบวนการตามกฎหมายที่โปร่งใส” คำเตือนการเดินทางของสหรัฐฯ ระบุ   “พลเมืองสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางหรืออาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจถูกควบคุมตัว โดยไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านกงสุล หรือข้อมูลเกี่ยวกับความผิดที่ตนถูกกล่าวหา”   สหรัฐฯ ยังอ้างด้วยว่า ทางการจีน “ดูเหมือนจะให้คำนิยามที่กว้างขวางมากเกี่ยวกับเอกสาร ข้อมูล สถิติ หรือวัสดุที่จัดเป็นความลับของรัฐบาล (state secrets) เพื่อที่จะจับกุมและดำเนินคดีกับชาวต่างชาติในข้อหาจารกรรม”   สหรัฐฯ…

1 ก.ค.นี้ จีน เริ่มใช้กฎหมายระหว่างประเทศฉบับใหม่ ให้อำนาจประธานาธิบดี ตอบโต้ภัยคุกคาม-หวังคานอิทธิพลสหรัฐฯ

Loading

  ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติของจีน เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติผ่านร่างกฎหมายใหม่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Law on Foreign Relations) มุ่งปกป้องสิทธิ์ของประเทศจีนในการใช้มาตรการตอบโต้ต่อการกระทำต่าง ๆ ที่ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศหลังมีปัญหาตึงเครียดกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกมาหลายปี   กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยสภานิติบัญญัติได้ตรากฎหมายนี้ขึ้นมาหลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน พยายามจะตอบโต้ในสิ่งที่ประเทศจีนมองว่า เป็นความพยายามของสหรัฐฯที่จะสกัดการพัฒนาของจีน หลังสหรัฐฯประกาศเมื่อเร็วๆนี้ ห้ามส่งออกสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงบางประเภท อีกทั้งพยายามจะลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากจีนในบางหมวดอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯหวั่นเกรงกระทบความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ   หนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ของทางการจีน ระบุว่า ทางการจีนได้จัดทำกฎหมายนี้ หลังเผชิญกับปัญหาท้าทายใหม่ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การที่ชาติตะวันตกเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของจีน พร้อมทั้งดำเนินมาตรการคว่ำบาตรจีนโดยพลการ   ในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งของจีน พร้อมกล่าวหาว่า พัวพันโครงการสอดแนม กระทบความมั่นคงของสหรัฐฯ และบริษัทจีนมีส่วนให้การสนับสนุนในการทำสงครามกับยูเครน โดยเสนอให้บรรดาชาติพันธมิตรห้ามส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศจีน อีกทั้งรณรงค์ให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น กลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (กลุ่ม G7) ให้ใช้นโยบายลงโทษหรือบีบบังคับประเทศจีนในทางเศรษฐกิจ…