สหรัฐใช้ระบบ AI บังคับเครื่องบินรบ F-16 ได้แล้ว อนาคตอาจไม่ต้องใช้คนขับ

Loading

    สหรัฐอเมริกา ได้นำ AI มาพัฒนาใช้จนสามารถบังคับเครื่องบินรบ F-16 ได้แล้วในปัจจุบัน ทำให้กองทัพสหรัฐอเมริกาทดลองขับการบินแบบอัตโนมัติได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้นักบินขับอีกต่อไป   สหรัฐอเมริกา ทำให้เห็นถึงความอัจฉริยะของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากกองทัพสหรัฐอเมริกาได้นำโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการซ้อมบินของเครื่องบินรบ F-16 ซึ่งสามารถประหยัดเวลาในการฝึกซ้อมได้เป็นอย่างดี ได้ลองทดสอบการบินไปกว่า 17 ชั่วโมง 12 เที่ยวบิน และประสบความสำเร็จไปด้วยดี     เครื่องบินทดสอบมีชื่อว่า ‘X-62A’ Variable Stability In-Flight Simulator หรือ VISTA มีต้นแบบมาจากเครื่องบิน Block 30 F-16D สองที่นั่งและบินครั้งแรกในปี 1992   VISTA สามารถช่วยให้ทีมทดสอบสามารถบินภารกิจ ลงจอด และอัปเดตหรือเปลี่ยนเอเจนต์ AI อย่างรวดเร็ว จากนั้นบินภารกิจทดสอบอื่น ๆ ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ที่ดีกว่านั้นคือโปรแกรม VISTA สามารถทำให้ระหว่างเที่ยวบิน ยังสามารถมีนักบินที่เป็นมนุษย์อยู่บนเครื่อง และสามารถเข้าควบคุมได้หากจำเป็น    …

ผ่าแผนแม่บท ‘เอไอ’ แห่งชาติ ปลุกเศรษฐกิจดิจิทัล-ดันจีดีพี

Loading

      ผ่าแผนแม่บท ‘เอไอ’ แห่งชาติ กลไกใหญ่ปลุกเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐวางโรดแมป 6 ปี ยกระดับดัชนีความพร้อมด้านเอไอของไทย ไม่ต่ำกว่าลำดับที่ 50 ของโลก เกิดการลงทุนด้านเอไอเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี สร้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญไม่ต่ำกว่า 30,000 คน ไอบีเอ็ม ชี้ เอไอ เทรนด์ใหญ่ธุรกิจต้องมอง “นักวิชาการ” หวั่น ‘เอไอ’ อาจสร้างผลลบ โดยเฉพาะ “แรงงาน” หากไม่สร้างความตระหนักรู้ให้ดี   ปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ คือ หนึ่งในเมกะเทรนด์โลกยุคใหม่ มีความสำคัญมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ หลายสิบปีก่อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ วันนี้โลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ทำให้จินตนาการของเรา ที่สะท้อนผ่านภาพยนตร์ในอดีตเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ไร้คนขับ ร้านค้าไร้พนักงาน ระบบการเงิน การธนาคารที่ใช้เอไอวิเคราะห์แทนพนักงาน ไปจนถึงการบริการลูกค้าผ่านแชตอัจฉริยะ รวมไปถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์   ขณะที่…

“จีน” ออกกฎหมายปราบ Deepfakes เริ่มต้นปี 66

Loading

  กฎระเบียบ Deepfakes คือ เทคโนโลยีที่ใช้สร้างสื่อสังเคราะห์เพื่อปลอมแปลงลักษณะบุคคลต่า งๆ ตกแต่ง ดัดแปลงภาพหรือวีดิโอขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น ใส่หน้านักการเมืองทับวีดิโอที่มีอยู่ หรือแม้แต่คำพูดเป็นเท็จ   รัฐบาลปักกิ่ง ประกาศกฎควบคุมการใช้เทคโนโลยี Deepfakes เมื่อต้นปีนี้ และได้ข้อสรุปในเดือนธันวาคม โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มกราคม 2566   ข้อปฏิบัติตามกฎระเบียบ Deepfakes คือ   1.ต้องได้รับความยินยอมหากจะนำภาพไปใช้ด้วยเทคโนโลยี deepfakes ใด ๆ 2. จะต้องไม่นำภาพไปตกแต่ง เพื่อนำไปเผยแพร่เป็นเฟคนิวส์ 3. การใช่บริการ Deepfake จำเป็นต้องตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้ 4. เนื้อหา ภาพหรือวีดิโอต้องแจ้งให้ทราบว่าได้ใช้เทคโนโลยีที่สร้างหรือตกแต่งภาพ 5. ห้ามทำเนื้อหา ภาพหรือวีดิโอ ซึ่งขัดต่อกฎหมายประเทศ เช่น ภัยต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติ หรือเศรษฐกิจประเทศ   อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านไซเบอร์สเปซของจีนเป็นผู้ควบคุม และเป็นบังคับใช้กฎระเบียบเหล่าดังกล่า       ——————————————————————————————————————————————————————————————————- ที่มา :           …

“หุ่นยนต์ป้องกันไฟไหม้” นวัตกรรมเกาหลีใต้-ลดภัยพิบัติในโรงงาน

Loading

  บริษัท Hyundai Steel ประเทศเกาหลีใต้ พัฒนา “หุ่นยนต์สี่ขาคล้ายสุนัขและงู” ช่วยป้องกันสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกินความสามารถของมนุษย์ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติ   อัคคีภัยเป็นภยันตรายที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินมาอย่างมากมาย จากเหตุเพลิงไหม้หลากหลายกรณี ซึ่งสามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวันบางครั้งอาจไม่ทันตั้งตัวและคาดคิดมาก่อน หากโรงงานอุตสาหกรรมไม่มีโซลูชันที่ป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ ก็จะทำให้คร่าชีวิตของพนังงานและผู้คนในละแวกนั้นนับไม่ถ้วน   ขณะเดียวกัน หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม ก็เป็นที่นิยมกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นการทำงานโดยปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาด สามารถคาดคะเนเหตุการณ์ ทนทานต่อ “ไฟ” หรือ “แก๊ส” ได้มากกว่าร่างกายของมนุษย์   บริษัท ฮุนไดสตีล จำกัด พัฒนาหุ่นยนต์ช่วยป้องกันเกิดอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติที่ส่งความเสียหายให้กับมนุษย์ ใช้ชื่อว่า “Spot และ Guardian S” ซึ่งหุ่นยนต์สองตัวนี้สามารถตรวจสอบว่าวาล์วแก๊สปิดหรือเปิดอยู่ และสามารถตรวจสอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ดังนั้น มันจึงสามารถช่วยป้องกันการเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่น การระเบิดหรือไฟไหม้   สำหรับเรื่องของความปลอดภัย หุ่นยนต์ทางฮุนไดสตีลได้รับรางวัลการจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิตจาก World Steel Association (Worldsteel) และได้ตั้งเป้าหมายว่า จะใช้หุ่นยนต์ในโรงงานก๊าซ 156 แห่ง และโรงงานปิด 2,927…

ไม่ง้อดาวเทียม ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับไฟป่า ติดกล้อง AI เตือนภัยน้ำท่วม

Loading

  น้ำท่วม และไฟป่า ยังคงเป็นโจทย์ปัญหาที่ทั่วโลกต้องรับมือ ที่ผ่านมาเทคโนโลยีดาวเทียมถูกนำมาใช้ช่วยระบุตำแหน่งจุดเกิดเหตุ และประเมินความเสียหายของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ มากกว่าการป้องกัน   แต่ล่าสุดในเวทีการแข่งขันนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมของอิสราเอล ได้เกิดแนวคิดใหม่ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้เฝ้าระวังภัยธรรมชาติก่อนเกิดเหตุ   Eversense บริษัทสตาร์ทอัพอิสราเอล ได้พัฒนาเซ็นเซอร์กระตุ้นความร้อนที่ใช้ตรวจจับไฟป่าได้ในระยะเริ่ม โดยออกแบบโซลูชันให้ใช้งานง่ายได้ในทุกสภาพอากาศ โดยไม่ต้องบำรุงรักษา   จากเดิมที่ต้องอาศัยกล้องจากดาวเทียม และเครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายในการทำงาน โซลูชันสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่จากแผงโซลาร์เซลล์ หรือแหล่งพลังงานภายนอก อีกทั้งยังสามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของการเกิดเพลิงไหม้ได้อีกด้วย   โซลูชันนี้กำลังถูกนำไปทดสอบติดตั้งในสถานที่จริง เพื่อวัดประสิทธิภาพการทำงาน และกลายเป็นความหวังที่จะช่วยแก้ปัญหาผลกระทบจากไฟป่าตามฤดูกาลที่จัดการได้ยาก อย่างไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย   ขณะที่บริษัท SighBit ได้ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อตรวจสอบระดับน้ำ โดยอาศัยกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจจับสถานการณ์น้ำที่ในพื้นที่อยู่ในความเสี่ยง และแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ถึงเหตุการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น   ระบบของ SightBit เป็นระบบเดียวที่ใช้ฟุตเทจจากกล้องเพื่อตรวจจับรูปแบบน้ำในแบบเรียลไทม์ และคาดการณ์อันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา   โดยนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น จะถูกนำไปใช้ในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิสราเอลที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูหนาวที่มีฝนตกชุก และจัดการปัญหาได้ยากลำบาก   หากทั้ง 2 โครงการผ่านทดสอบการใช้งานจริงแล้วได้ผลดี โอกาสที่จะมีเทคโนโลยีใหม่ จาก AI จัดการกับภัยธรรมชาติก็เป็นไปได้สูงครับ…

AI ในอนาคต (จบ)

Loading

  หาทางเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หลายสิบปีก่อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และปัจจุบันเราก็กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอที่ทำให้จินตนาการของเราที่สะท้อนผ่านภาพยนตร์ในอดีตเป็นจริงในวันนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ไร้คนขับ ร้านค้าไร้พนักงาน ระบบการเงิน การธนาคารที่ใช้เอไอวิเคราะห์แทนพนักงานไปจนถึงการบริการลูกค้าผ่านแชตบอต ฯลฯ รวมไปถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาโรคที่มีความสลับซับซ้อน หรือการคิดคันยารักษาโรคใหม่ๆ ที่ล้วนมีเอไอและบิ๊กดาต้าอยู่เบื้องหลัง แต่โอกาสที่เกิดขึ้นจากเอไอก็มาพร้อมความเสี่ยงของหลายๆ สาขาอาชีพที่กำลังจะถูกเทคโนโลยีเอไอเข้ามาทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะงานที่ทำซ้ำๆ ไม่สลับซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัวมากนักก็ล้วนมีแนวโน้มว่าจะถูกทดแทนโดยคอมพิวเตอร์ ความก้าวหน้าของเอไอจึงเริ่มจากงานง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยทักษะมากนัก เช่น งานเอกสาร การวิเคราะห์ตัวเลขที่มีรูปแบบตายตัว แต่ทุกวันนี้ด้วยการใช้ Deep Learning , Machine Learning และการสอนให้คอมพิวเตอร์เข้าใจโจทย์ที่มนุษย์ต้องการ เราจึงเห็นการใช้งานที่สลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อย่างการวาดภาพ การแต่งเพลง ไปจนถึงการเขียนเรื่องสั้น ในช่วงเวลานี้จึงเหมาะที่สุดแล้วที่เราจะได้ทบทวนตัวเองอีกครั้ง ด้วยเวลาที่เรามีเหลือจากการทำงานมากขึ้นเพราะเอไอเข้ามารับผิดชอบแทน เราจึงควรขบคิดว่ามูลค่าที่แท้จริงของตัวเราอยู่ตรงไหน และจะใช้เวลาที่ได้เพิ่มขึ้นมานี้เพิ่มพูนทักษะอะไรขึ้นมาอีก เพราะนับต่อจากนี้ไปความผันผวนที่เกิดขึ้นจากมุมใดของโลกก็ตามจะส่งผลกระทบไปถึงทุกประเทศทั่วโลกไม่ต่างอะไรกับโรคโควิด-19 ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เช่นเดียวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งล่าสุดคือจีนกับไต้หวัน ยังไม่นับรวมวิกฤติจากภาวะโลกร้อนที่เราจำเป็นต้องหาทางรับมือจนทำให้วิถีในการทำงานของเราต้องเปลี่ยนไป การมาถึงของเทคโนโลยีเอไอจึงเป็นเพียงอีกปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เราจึงต้องใช้ทัศนคติเชิงบวกมองการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายให้เป็นโอกาสให้มากที่สุด ย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นตามมาอีกมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับในอดีตที่คนเรามองรถจักรไอน้ำว่าเป็นเพียงรถไฟสำหรับขนส่ง แต่ในความเป็นจริงมันก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ ที่เปลี่ยนรูปแบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งโลกจนไม่ต้องขึ้นอยู่กับแรงงานมนุษย์อีกต่อไป ในยุคนั้นแน่นอนว่าต้องมีคนตกงานนับล้านคนทั่วโลกเพราะถูกเครื่องจักรกลเข้ามาทำงานแทนที่ แต่ยุคนั้นก็ทำให้เกิดการยกระดับการเรียนรู้ครั้งใหญ่เพราะมนุษย์เห็นแล้วว่าลำพังเพียงแรงงานไม่อาจใช้หาเลี้ยงชีพให้กับตัวเองได้ต่อไป…