ตะลึง! เมื่อ AI มีความคิด “อคติ” แถมยัง “เลือกปฏิบัติ” ไม่ต่างจากมนุษย์

Loading

  นักวิจัยด้านวิทยาการหุ่นยนต์กำลังหาทางป้องกันไม่ให้ ‘หุ่นยนต์’ แสดงพฤติกรรมเลือกปฏิบัติและอคติต่อมนุษย์ หลังพบว่าระบบอัลกอริทึมของ AI สามารถสร้างรูปแบบการเลือกที่รักมักที่ชังได้ เพื่อให้แน่ใจว่าหุ่นยนต์ และ AI นั้นปฏิบัติกับมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียม นักวิจัยปัญญาประดิษฐ์ จึงได้ทำการวิจัยกับแขนกลหุ่นยนต์ในสถานการณ์จำลอง โดยแขนกลนี้ถูกติดตั้งระบบการมองเห็น ทำให้สามารถเรียนรู้การเชื่อมโยงระหว่างภาพกับคำจากภาพถ่าย และข้อความออนไลน์ได้ ทีมวิจัยทดลองด้วยการให้หุ่นยนต์ดูรูปภาพใบหน้าคนหลากหลายเชื้อชาติที่ถ่ายในลักษณะเดียวกันกับพาสปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นชาวเอเชีย คนผิวดำ คนละติน หรือคนผิวขาว แล้วให้แขนกลหยิบรูปภาพที่ตรงกับกลุ่มคำศัพท์ที่ใช้ระบุตัว เช่น “กลุ่มอาชญากร” หรือ “กลุ่มแม่บ้าน” หุ่นยนต์เลือกปฏิบัติไม่ต่างจากคน จากการทดลองกว่า 1,300,000 ครั้ง ในโลกเสมือนจริง พบว่า การจัดรูปแบบอัลกอริทึมนั้นมีความสอดคล้องกับการกีดกันทางเพศและการเหยียดเชื้อชาติในอดีต แม้จะไม่มีการเขียนข้อความหรือทำตำหนิบนรูปภาพใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อสั่งให้หุ่นยนต์หยิบใบหน้าของอาชญากร หุ่นยนต์มักเลือกภาพถ่ายของคนผิวดำมากกว่ากลุ่มอื่นถึง 10% และเมื่อให้เลือกภาพของหมอ หุ่นยนต์มักจะเลือกภาพผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเสมอ เมื่อถามว่าลักษณะของบุคคลเป็นอย่างไร หุ่นยนต์มักจะเลือกรูปภาพของชายผิวขาวมากกว่าผู้หญิง ไม่ว่าจะเชื้อชาติใดก็ตาม นอกจากนี้ในการทดลองทั้งหมดหุ่นยนต์จะเลือกรูปภาพของหญิงผิวดำน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ วิลลี่ แอคนิว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้ทำการศึกษาดังกล่าว เขาพบว่า งานวิจัยของเขาเป็นสัญญาณเตือนให้กับสาขาวิทยาการหุ่นยนต์เฝ้าระวังอันตรายจากการเลือกปฏิบัติของหุ่นยนต์ รวมถึงหาหนทางใหม่ ๆ ในการทดสอบหุ่นยนต์…

AI อาชญากรรม ใช้ในงานอาชญากรรม คาดการณ์แม่นยำ ก่อนเกิดเหตุ

Loading

  ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน เหตุอาชญากรรมมีอัตราถี่มากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จากวิกฤติด้านเศรษฐกิจและปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ตอนนี้นักวิจัยได้พัฒนา AI อาชญากรรม เพื่อคาดการณ์เหตุอาชญากรรมที่อาจจะเกิดขึ้น มีความแม่นยำมากกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ และตอนนี้ได้นำทดลองใช้ในหลายเมืองของสหรัฐฯ แล้ว . ในบทความล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Nature Human Behaviour ศาสตราจารย์ Ishanu Chattopadhyay และเพื่อนร่วมงานได้สาธิตโมเดล AI เชิงทำนายในแปดเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ . แนวคิดการทำงานของ AI นั่นเรียบง่ายครับ โดยจะมีการนำข้อมูลบันทึกเหตุการณ์สำหรับอาชญากรรมแต่ละประเภท รวมถึงสถานที่และเวลาที่อาชญากรรมเกิดขึ้นไปป้อนเข้าสู่อัลกอริธึม และ Machine Learning ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลแยกออกมาเป็นตารางของผังเมืองแต่ละที่ และบันทึกเหตุการณ์จะถูกรวมเข้ากับพื้นที่นั้น ๆ เพื่อสร้างสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “อนุกรมเวลา” จากนั้น AI จะใช้อนุกรมเวลาเหล่านี้เพื่อทำนายอาชญากรรมโดยพิจารณาจากสถานที่และเวลาที่มักเกิดขึ้น . แต่บางคนอาจเกิดความกังวลว่า หากคนที่ใส่ข้อมูลในอัลกอริธึมมีอัคติล่ะ เช่น อาจไม่ชอบคนผิวสี อย่างที่เคยเป็นข่าวเหยีดผิวในสหรัฐบ่อย ๆ หรือบางคนจะถูกจับขังเข้าคุกหรือเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาอาจยังไม่ได้ทำความผิดใด ๆ…

AI ในอนาคต (จบ)

Loading

  หาทางเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หลายสิบปีก่อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และปัจจุบันเราก็กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอที่ทำให้จินตนาการของเราที่สะท้อนผ่านภาพยนตร์ในอดีตเป็นจริงในวันนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ไร้คนขับ ร้านค้าไร้พนักงาน ระบบการเงิน การธนาคารที่ใช้เอไอวิเคราะห์แทนพนักงานไปจนถึงการบริการลูกค้าผ่านแชตบอต ฯลฯ รวมไปถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาโรคที่มีความสลับซับซ้อน หรือการคิดคันยารักษาโรคใหม่ๆ ที่ล้วนมีเอไอและบิ๊กดาต้าอยู่เบื้องหลัง แต่โอกาสที่เกิดขึ้นจากเอไอก็มาพร้อมความเสี่ยงของหลายๆ สาขาอาชีพที่กำลังจะถูกเทคโนโลยีเอไอเข้ามาทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะงานที่ทำซ้ำๆ ไม่สลับซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัวมากนักก็ล้วนมีแนวโน้มว่าจะถูกทดแทนโดยคอมพิวเตอร์ ความก้าวหน้าของเอไอจึงเริ่มจากงานง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยทักษะมากนัก เช่น งานเอกสาร การวิเคราะห์ตัวเลขที่มีรูปแบบตายตัว แต่ทุกวันนี้ด้วยการใช้ Deep Learning , Machine Learning และการสอนให้คอมพิวเตอร์เข้าใจโจทย์ที่มนุษย์ต้องการ เราจึงเห็นการใช้งานที่สลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อย่างการวาดภาพ การแต่งเพลง ไปจนถึงการเขียนเรื่องสั้น ในช่วงเวลานี้จึงเหมาะที่สุดแล้วที่เราจะได้ทบทวนตัวเองอีกครั้ง ด้วยเวลาที่เรามีเหลือจากการทำงานมากขึ้นเพราะเอไอเข้ามารับผิดชอบแทน เราจึงควรขบคิดว่ามูลค่าที่แท้จริงของตัวเราอยู่ตรงไหน และจะใช้เวลาที่ได้เพิ่มขึ้นมานี้เพิ่มพูนทักษะอะไรขึ้นมาอีก เพราะนับต่อจากนี้ไปความผันผวนที่เกิดขึ้นจากมุมใดของโลกก็ตามจะส่งผลกระทบไปถึงทุกประเทศทั่วโลกไม่ต่างอะไรกับโรคโควิด-19 ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เช่นเดียวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งล่าสุดคือจีนกับไต้หวัน ยังไม่นับรวมวิกฤติจากภาวะโลกร้อนที่เราจำเป็นต้องหาทางรับมือจนทำให้วิถีในการทำงานของเราต้องเปลี่ยนไป การมาถึงของเทคโนโลยีเอไอจึงเป็นเพียงอีกปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เราจึงต้องใช้ทัศนคติเชิงบวกมองการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายให้เป็นโอกาสให้มากที่สุด ย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นตามมาอีกมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับในอดีตที่คนเรามองรถจักรไอน้ำว่าเป็นเพียงรถไฟสำหรับขนส่ง แต่ในความเป็นจริงมันก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ ที่เปลี่ยนรูปแบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งโลกจนไม่ต้องขึ้นอยู่กับแรงงานมนุษย์อีกต่อไป ในยุคนั้นแน่นอนว่าต้องมีคนตกงานนับล้านคนทั่วโลกเพราะถูกเครื่องจักรกลเข้ามาทำงานแทนที่ แต่ยุคนั้นก็ทำให้เกิดการยกระดับการเรียนรู้ครั้งใหญ่เพราะมนุษย์เห็นแล้วว่าลำพังเพียงแรงงานไม่อาจใช้หาเลี้ยงชีพให้กับตัวเองได้ต่อไป…

AI ในอนาคต

Loading

  การปรับตัวของภาคธุรกิจต่อการมาถึงของเอไอเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้   หากจะมีการปรับหรือเปลี่ยนแปลงการทำงานในภาคธุรกิจไม่ว่าจะเป็นประเทศใด มักจะต้องทำแแบบสอบถาม เพื่อดูแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว   อย่างเช่นเมื่อปี 2018 ประเทศญี่ปุ่นทำการสำรวจความพร้อมในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ขององค์กรธุรกิจโดยทำแบบสอบถามกว่า 20,000 ชุดซึ่งผู้ที่ตอบแบบสอบถามถึงประมาณ 30% เชื่อมั่นว่ายุคของเทคโนโลยีได้มาถึงแล้วและไม่มีทางปฎิเสธได้   ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 90% ระบุว่าองค์กรได้เริ่มใช้งานระบบ AI ไปบ้างแล้ว แต่ที่น่าสนใจก็คือในจำนวนนี้มีผู้ใช้มากถึง 20% ที่ไม่รู้ว่า AI คืออะไรและจะช่วยงานเราได้อย่างไรบ้าง สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทหลายๆ แห่งลงทุนในระบบนี้ไปเพียงเพราะกลัวตกยุค กลัวจะดูไม่ทันสมัยเท่านั้น   ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ปัจจุบันนี้ หรือ 4 ปีหลังการสำรวจจะพบว่าการใช้งาน AI ในองค์กรธุรกิจหลาย ๆ แห่งประสบปัญหามากมายเพราะจุดเริ่มต้นที่ผิดพลาดและไม่ได้มาจากความต้องการใช้งานจริง ผลสุดท้ายก็กลายเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าและไม่ต้อบโจทย์ใด ๆ ในองค์กรเลย   ตรงกันข้ามกับบริษัทที่เริ่มต้นโดยมีกลยุทธ์ชัดเจน และให้ความรู้ทีมงานพร้อมนำ AI มาใช้อย่างถูกจุด จะพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานถูกยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล ลดงานที่ทำซ้ำและตอบสนองความต้องการของลูกค้าไม่เพิ่มขึ้นหลายเท่า   AI อาจเป็นการปฏิวัติวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมอีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่เทคโนโลยีนี้แพร่หลาย มันได้สร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจเกิดใหม่ได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เช่นกรณีของ…

จีนวิจัยเอไอช่วยทำนายวิถีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก

Loading

    เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจจับขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกได้   South China Morning รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนการเตือนภัยล่วงหน้ากองทัพอากาศของจีนพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) คาดคะเนวิถีของขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก หรือขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่กำลังพุ่งเข้าสู่เป้าหมายที่ความเร็วที่เร็วกว่าความเร็วของเสียง 5 เท่า   นักวิจัยระบุว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ขับเคลื่อนโดย AI สามารถประมาณการวิถีการสังหารที่เป็นไปได้ของขีปนาวุธที่กำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย และหาทางตอบโต้ภายในเวลา 3 นาที   จางจุนเปียว นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากโรงเรียนการเตือนภัยล่วงหน้ากองทัพอากาศในเมืองอู่ฮั่นของจีนเผยว่า “มหาอำนาจทางการทหารของโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกอย่างดุดัน ทำให้เกิดความท้าทายครั้งใหม่ที่รุนแรงต่อความปลอดภัยทางอากาศและในอวกาศ”   “การทำนายเส้นทางมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับการประเมินเจตนาและการสกัดกั้นการป้องกันการบินและอวกาศ” จางระบุในวารสาร Journal Of Astronautics ที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา   ขีปนาวุธร่อนไฮเปอร์โซนิกถูกปล่อยจากอากาศและสามารถเดินทางเข้าและออกจากชั้นบรรยากาศได้ราวกับก้อนหินกระโดดอยู่บนผืนน้ำและเบี่ยงไปทางซ้ายหรือขวา ทำให้ยากต่อการตรวจจับหรือสกัดกั้น   ด้วยความเร็วระดับ 5 มัคทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศแทบจะไม่มีเวลาตอบโต้ และขณะนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่มีอยู่สามารถหยุดยั้งขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกได้เลย   ทว่าจางเผยว่า AI สามารถทำได้ฝ่ายที่ต้องตั้งรับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับน้ำหนัก ขนาด รูปร่าง ระบบควบคุมกลศาสตร์ หรือจุดประสงค์ของอาวุธของศัตรู แต่ AI สามารถคาดเดาได้ค่อนข้างแม่นยำด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของขีปนาวุธที่บันทึกไว้…

สงครามเทคโนโลยี ดาวเทียมจีนบรรลุเป้า ติดตามเรือรบได้เรียลไทม์

Loading

  สำนักข่าว South China Morning Post เปิดเผยรายงานว่า ดาวเทียมจีน ที่ติดตั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้าไป สามารถตรวจจับพิกัดที่แน่นอนของเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ได้แล้ว   ดาวเทียมดังกล่าวสามารถติดตามเรือบรรทุกเครื่องบินตั้งแต่เคลื่อนตัวออกจากชายฝั่ง Long Island รัฐนิวยอร์กตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วพร้อมกับส่งข้อมูลไปยังปักกิ่งได้ตลอดเวลา   นอกจากนี้ เทคโนโลยีภาพดาวเทียมของจีนก็ไม่ใช่เล่น ๆ ครับ สามารถให้ความละเอียดได้สูงถึง 200 เฟรมต่อวินาที นั่นเท่ากับว่า มันมีความคมชัดมากพอจะเห็นว่าเรือรบกำลังทำอะไรได้แบบเรียลไทม์ และการมีปัญญาประดิษฐ์ติดตั้งอยู่ ก็ทำให้สามารถรู้รับรู้ได้ตลอดว่า เรือไปทำอะไรอยู่ในหรือจุดไหนของโลก   รายงานดังกล่าวถูกเปิดเผยเมื่อ สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) อัพโหลดวีดีภาพยนต์สั้นเรื่องใหม่ผ่านทางยูทูปชาแนล เกี่ยวกับแผนการของจีนที่ต้องการขโมยเทคโนโลยีของทางสหรัฐเพื่อบรรลุเป้าหมายในการครอบงำตลาดโลก โดยภาพยนต์เรื่องนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพยายามเรียกร้องให้ภาคเอกชนของอเมริกาพยายามปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขา ไม่ให้ถูกจีนขโมยไป   การเปิดเผยรายงานดังกล่าวก็เป็นการบอกว่า เฮ้ย… นี่ชั้นก็มีเทคโนโลยีทางทหารที่ล้ำหน้ามากที่สุดในโลกนะ ไม่ได้ขโมยมาจากแกด้วย… สามารถติดตามเรือบรรทุกเครื่องบินมูลค่าหลายหมื่นล้านของแกไปได้ทุกที่บนโลกนะ ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าสหรัฐจะตอบโต้กลับยังไงครับ     ที่มาข้อมูล https://americanmilitarynews.com/2022/05/chinas-ai-satellites-can-track-us-ships-in-real-time-around-the-world-report/ https://www.youtube.com/watch?v=GdapE82GceA    …