จีน จ่อสั่งแบนชิป Intel ชี้ไม่ปลอดภัย คุณภาพต่ำ เรียกร้องให้ตรวจสอบด่วน

Loading

สมาคมความปลอดภัยทางไซเบอร์ของจีน (CSAC) เรียกร้องให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ Intel ที่จำหน่ายในประเทศจีน โดยอ้างว่าผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯรายนี้ “สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง” ต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ

Silicon Valley สหรัฐฯ เร่งคัดกรองพนักงานชาวจีนเพื่อป้องกันการจารกรรม

Loading

OpenAI หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่ได้เพิ่มการตรวจสอบความปลอดภัยพนักงานและผู้สมัครงาน   เว็บไซต์ VOA News รายงานเมื่อ 4 ก.ค.67 ว่า ซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ศูนย์รวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ อาทิ Google OpenAI NVIDIA และ Sequoia Capital ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับบุคคลต่อพนักงานและผู้สมัครงานทุกเชื้อชาติให้เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะชาวจีนหรือผู้ที่มีครอบครัวหรือมีความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่อแรงกดดันจากรัฐบาลจีนเป็นพิเศษ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์จากจีน และตอบสนองต่อคำเตือนของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับภัยคุกคามจากการจารกรรมของจีนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา   นักศึกษาจีนในสหรัฐฯ แซ่เจิ้ง ซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อจริงเพราะกลัวถูกตอบโต้จากรัฐบาลจีนและกำลังขอสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐฯ กล่าวว่า “ฉันหวังว่าจะกลายเป็นกำลังสำคัญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ และมีบทบาทในการต่อสู้กับการโจมตีทางไซเบอร์ของจีน” อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลว่าการตรวจสอบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำงาน แต่นักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ หลายคนอาจกังวลว่าพวกเขาจะถูกปิดกั้นจากงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในสหรัฐฯ   นาย Ray Wang ซีอีโอของบริษัท Constellation Research ซึ่งตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์ อ้างว่า การขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ มีมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และคนที่มีความเชื่อมโยงกับจีนมักตกเป็นเป้าหมาย โดยผู้คนในสหรัฐฯ ซึ่งมีญาติในจีน รัฐบาลจีนจะขอให้ทำงานบางอย่าง มิฉะนั้น…

รัฐบาลสหรัฐฯ ออกข้อกำหนดใหม่เกี่ยวกับการขายชิปเซตให้กับรัสเซียและจีน

Loading

  ผู้ผลิตชิปเซตชั้นนำของโลกทั้งอินวิเดียและเอเอ็มดี กล่าวถึงการจำกัดการขายชิปเซตที่มีความสลับซับซ้อนให้กับรัสเซียและจีน ซึ่งเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ   ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกข้อกำหนดใหม่เกี่ยวกับการขายชิปเซตที่มีความสลับซับซ้อนทางเทคโนโลยีบางรุ่นให้กับรัสเซียและจีน   คำสั่งบริหารของปธน.ไบเดน ส่งผลให้ชิปเซตกราฟิกระดับไฮเอนด์ ที่ผลิตและจำหน่ายโดยเอเอ็มดี (AMD) และอินวิเดีย (Nvidia) จะไม่ถูกปล่อยไปยังคู่ขัดแย้งทางการเมืองของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยง่าย ผู้ขายจำเป็นต้องขอใบอนุญาตส่งออกสำหรับการขายชิปเซต ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ มีความตั้งใจที่จะให้ชิปเซตระดับสูงเหล่านี้ ไม่ถูกนำไปใช้ทางการทหารของประเทศรัสเซีย และจีน   ในอดีตผลิตภัณฑ์ในส่วนชิปเซตกราฟิกระดับไฮเอนด์ มักถูกนำไปใช้สำหรับการพัฒนาวิดีโอเกม เพื่อให้ภาพที่ได้มีความสมจริงมากที่สุด แต่ในช่วง 10 ปีหลังสุด ชิปเซตกราฟิกระดับสูงหลายรุ่น ได้ถูกนำไปใช้กับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์   ในเวลาเดียวกัน ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ในหลายประเทศก็ถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาอาวุธทางการทหาร หรือในประเทศจีน ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้สอดส่องพลเมืองของตัวเอง ด้วยการระบุใบหน้าในภาพวิดีโอ เป็นต้น   ก่อนหน้านี้ อินวิเดีย มีลูกค้าจำนวนมากทั้งในประเทศจีน และรัสเซีย แต่จากการที่ รัสเซีย เข้าบุกรุกยูเครน จึงทำให้อินวิเดีย ไม่ได้ขายชิปเซตให้กับรัสเซียอีกแล้ว ซึ่งส่งผลให้อินวิเดียสูญเสียรายได้ราว 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสล่าสุด   ทางด้านเอเอ็มดี ยอมรับว่า…

Nvidia ออกแถลงการณ์ยอมรับถูกแฮ็กเกอร์ขโมยข้อมูล หลังถูกโจมตีด้วย Ransomware

Loading

  อินวิเดีย ผู้ผลิตชิปเซตยืนยันว่า พวกเขาถูกแฮ็กเกอร์โจมตี พร้อมกับขโมยข้อมูลสำคัญออกไป โดยเป็นข้อมูลในส่วนข้อมูลพนักงานและความลับทางการค้า สำนักข่าวเทคครันช์ เปิดเผยว่า อินวิเดีย (Nvidia) ผู้ผลิตชิปเซตชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ออกมายอมรับว่า ถูกแฮ็กเกอร์โจมตีด้วยซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware จนทำให้มีข้อมูลของพนักงาน และความลับทางการค้าของบริษัท ออกไปจากเครือข่าย การโจมตีอินวิเดียในครั้งนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่มีชื่อว่า Lapsus$ ซึ่งพวกเขาอ้างว่า ได้ขโมยข้อมูลจากอินวิเดียเป็นจำนวน 1TB ภายในประกอบไปด้วยความลับทางการค้า ข้อมูลสำคัญของบริษัท รวมถึงซอร์สโค้ดอันเป็นทรัพย์สินของอินวิเดีย อันที่จริง กลุ่ม Lapsus$ ถือว่ายังมีบทบาทในวงการแฮ็กเกอร์ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็เคยเข้าไปโจมตีกระทรวงสาธารณสุขของประเทศบราซิลในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว พร้อมกับขโมยข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนของพลเมืองเป็นไฟล์ที่มีขนาด 50TB นอกจากนั้น พวกเขามีความพยายามที่จะโจมตีบริษัทสื่อชื่อดังของโปรตุเกสอย่าง Impresa และบริษัทโทรคมนาคม Claro และ Embratel ซึ่งมีขอบเขตการให้บริการในอเมริกาใต้ ดังนั้นแล้วจึงมีการคาดการณ์กันว่า Lapsus$ น่าจะมีฐานอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ เพียงแต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดมากนักในเวลานี้ นับตั้งแต่อินวิเดียถูกโจมตีในวันแรกๆ มีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าประเด็นดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ยูเครนและรัสเซียหรือไม่ ก่อนที่อินวิเดียจะออกมายืนยันว่า การโจมตีครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ และไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงต่อสถานการณ์ดังกล่าว ที่มา: TechCrunch    …