สภาสูงสหรัฐฯ โหวตแบน TikTok ห้ามใช้ภายในองค์กรรัฐ หลังหลายรัฐในอเมริกาเริ่มห้ามใช้แอปโซเชียลชื่อดังจากจีน

Loading

  เอเจนซีส์ – วุฒิสภาสหรัฐฯ ค่ำวานนี้ (14 ธ.ค.) ผ่านมติห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ใช้แอป TikTok สำหรับอุปกรณ์ของรัฐ หวั่นเป็นภัยความมั่นคงถูกจารกรรมรัฐจากปักกิ่ง หลัง FBI และหน่วยข่าวกรองลับสหรัฐฯ ออกมาเตือนอย่างยาวนานก่อนหน้า เกิดขึ้นไม่นานหลังมีไม่ต่ำกว่า 2 รัฐในอเมริกาสั่งแบน TikTok   เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (15 ธ.ค.) ว่า ร่างกฎหมายแบน TikTok ที่ถูกเสนอโดย 4 ส.ว.ชื่อดังจากพรรครีพับลิกัน ได้แก่ ส.ว.จอช ฮอว์ลีย์ (Josh Hawley) จากรัฐมิสซูรี ส.ว.ทอม คอตตอน (Tom Cotton)จากรัฐอาร์คันซอ ริค สกอตต์( Rick Scott) จากรัฐฟลอริดา และมาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) จากรัฐฟลอริดา ผ่านสภาสูงสหรัฐฯ ด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์อ้างอิงมติโหวตจากฟ็อกซ์นิวส์ สั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ…

แฮ็กเกอร์ใช้ ‘Invisible Challenge’ บน TikTok หลอกผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดมัลแวร์

Loading

  Checkmarx บริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เผยว่าอาชญากรหันมาใช้กิจกรรม Challenge หลอกผู้ใช้ TikTok ให้ดาวน์โหลดมัลแวร์   TikTok Challenge ที่ว่านี้คือ Invisible Challenge หรือ ‘การท้าล่องหน’ เป็นกิจกรรมที่ท้าผู้ใช้ TikTok ถ่ายตัวเองแบบเปลือยโดยใช้ฟิลเตอร์ที่ชื่อว่า Invisible Body ที่ทำให้ร่างกายดูล่องหน ขณะนี้ แฮชแท็ก #invisiblefilter มีผู้เข้าชมมากกว่า 25 ล้านครั้งแล้ว   ผู้ใช้ TikTok 2 ราย ชื่อว่า @learncyber และ @kodibtc ใช้กิจกรรมนี้ในการเผยแพร่วิดีโอที่แปะลิงก์เข้าร่วมเซิร์ฟเวอร์ Discord ซ่อนซอฟต์แวร์ปลอมที่อ้างสรรพคุณว่าจะสามารถลบฟิลเตอร์ออกไปได้ (เพื่อให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของผู้ทำกิจกรรมนี้) ในลิงก์จะมีภาพลามกที่อ้างว่าเป็นผลลัพธ์ของการใช้ซอฟต์แวร์ที่ว่านี้ แต่ในลิงก์จะเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลที่ชื่อ WASP ซ่อนอยู่ภายในไฟล์ที่เขียนด้วยโค้ดในภาษา Python   นอกจากนี้ บัญชีบอตของช่องยังส่งข้อความส่วนตัวไปหาผู้ใช้ มีเนื้อหาเพื่อขอคะแนนในหน้า GitHub ของซอฟต์แวร์นี้ ซึ่งใช้ชื่อว่า 420World69/Tiktok-Unfilter-Api จนได้รับความนิยม  …

เอฟบีไอเผย ‘ติ๊กต๊อก’ สร้างความกังวลด้านความมั่นคง

Loading

FILE – A TikTok logo is displayed on a smartphone in this illustration taken Jan. 6, 2020.   คริสโตเฟอร์ เรย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ (FBI) กล่าวว่า เอฟบีไอเป็นกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ต่อสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยม ติ๊กต๊อก (TikTok) ของจีน ซึ่งกำลังขออนุมัติจากทางการสหรัฐฯ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจในอเมริกาได้ต่อไป   เรย์ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงมาตุภูมิของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร ว่าด้วยเรื่องภัยคุกคามจากทั่วโลกต่อสหรัฐฯ โดยระบุว่า ความกังวลที่มีต่อ TikTok นั้นรวมถึงการที่รัฐบาลจีนสามารถใช้ TikTok เพื่อเก็บรวมรวมข้อมูลของผู้ใช้หลายล้านคน และรัฐบาลปักกิ่งยังอาจสามารถควบคุมชุดคำสั่งอัลกอริทึมและซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์สื่อสารหลายล้านเครื่องได้ด้วย   ผอ.เอฟบีไอ ระบุว่า “หน่วยข่าวกรองข้ามชาติและภัยคุกคามทางเศรษฐกิจจากจีนนั้น คือภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดในระยะยาว ต่อความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ”   ความเชื่อมโยงระหว่างแอปป์ TikTok กับรัฐบาลจีน…

พนักงานติ๊กต็อกในจีน สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานในสหราชอาณาจักร และอียู

Loading

  ติ๊กต็อก (TikTok) ได้แจ้งต่อบรรดาผู้ใช้งานว่า พนักงานของติ๊กต็อกบางรายในจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานในสหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (EU) พร้อมชี้แจงว่า นโยบายความเป็นส่วนตัวนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นในการทำงานของพวกเขา   ติ๊กต็อกระบุว่า นโยบายดังกล่าวนั้นมีผลบังคับใช้กับพื้นที่เศรษฐกิจยุโรป สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์   นางอีเลน ฟ็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายความเป็นส่วนตัวประจำยุโรปของติ๊กต็อกระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธ ( 2 พ.ย.) ว่า ทีมงานทั่วโลกได้ช่วยกันรักษาประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้มีความต่อเนื่อง เพลิดเพลิน และปลอดภัย   อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ติ๊กต็อกได้ดำเนินการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานในยุโรปไว้ที่สหรัฐและสิงคโปร์   “เราได้อนุญาตให้พนักงานบางรายที่ประจำอยู่ในบราซิล แคนาดา จีน อิสราเอล ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐ เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานชาวยุโรป” นางฟ็อกซ์ กล่าว   “เราพยายามจำกัดจำนวนพนักงานที่สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานในยุโรป เพื่อให้ข้อมูลไหลเวียนออกจากภูมิภาคดังกล่าวน้อยที่สุด และเก็บข้อมูลผู้ใช้งานยุโรปไว้ในพื้นที่”   สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทางการทั่วโลกรวมถึง อังกฤษ และสหรัฐได้ดำเนินการตรวจสอบติ๊กต็อกขนานใหญ่ เพราะวิตกกังวลว่า ติ๊กต็อกอาจจะส่งข้อมูลผู้ใช้งานที่เป็นพลเมืองของตนไปให้กับรัฐบาลจีน  …

การทดลองเผย แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ล้มเหลวในการกรองข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ

Loading

  Global Witness องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิทธิมนุษยชน และทีมงาน Cybersecurity for Democracy (C4D) แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กเผยว่า Facebook และ TikTok ล้มเหลวในการขัดขวางโฆษณาที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน   โดย Global Witness ได้ทำการทดสอบมาตรการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลเท็จบนโซเชียลมีเดีย ด้วยการสร้างบัญชีปลอมบน Facebook, TikTok และ YouTube จากนั้นใช้บัญชีเหล่านี้สร้างโฆษณาทั้งในภาษาอังกฤษและสเปน   ทางองค์กรระบุว่าโฆษณาแต่ละตัวมีเนื้อหาที่เป็นข้อมูลเท็จอย่างชัดเจน อย่างการอ้างว่าคนที่จะไปเลือกตั้งได้ต้องฉีดวัคซีนก่อน หรืออ้างว่าต้องโหวต 2 ครั้งถึงจะมีความหมาย โฆษณาบางตัวก็ใส่วันที่ของการเลือกตั้งแบบผิด ๆ   พื้นที่เป้าหมายของโฆษณาเหล่านี้คือรัฐที่มีการแข่งขันกันอย่างสูสีระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ ได้แก่ แอริโซนา โคโลราโด จอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา และเพนซิลเวเนีย   ผลก็คือมีเพียง YouTube เท่านั้นที่สามารถปิดกั้นโฆษณาทั้งหมด รวมถึงยังสามารถบล็อกบัญชีที่สร้างโฆษณาเท็จได้ด้วย   ในทางกลับกัน ในการทดลองครั้งแรก Facebook อนุมัติถึงร้อยละ 20 ของโฆษณาปลอมที่เป็นภาษาอังกฤษ และอนุมัติครึ่งหนึ่งของโฆษณาภาษาสเปน ในขณะที่การทดลองใหม่อีกครั้ง…

TikTok เผยตรวจพบบัญชีปลอมประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ทั้งสิ้น 33.6 ล้านบัญชี

Loading

  ติ๊กต่อก (TikTok) เผยในรายงานการบังคับใช้หลักเกณฑ์สำหรับชุมชนประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2022 พบมีการใช้บัญชีปลอมในแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น 61 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 33.6 ล้านบัญชี และประเทศไทยอยู่อันดับ 14 ประเทศที่ถูกลบวิดีโอมากที่สุด   ติ๊กต่อก แพลตฟอร์มวิดีโอโซเชียลมีเดีย เผยแพร่รายงานการบังคับใช้หลักเกณฑ์สำหรับชุมชน ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 โดยรายงานฉบับนี้ ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึง 30 มิถุนายน 2022   สิ่งที่น่าสนใจของรายงานฉบับนี้อยู่ตรงที่ ติ๊กต่อก ได้เปิดเผยว่า มีการตรวจพบบัญชีปลอมและได้ลบบัญชีปลอมเหล่านี้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 33.6 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 61 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ถ้ามองย้อนกลับไปช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่า อัตราการลบบัญชีปลอมของติ๊กต่อก เพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว   ตัวเลขการลบบัญชี     พร้อมกันนี้ ติ๊กต่อก กล่าวว่า…