มุมมืดของศิลปะ เมื่อขบวนการฟอกเงินซ่อนอยู่ข้างหลังภาพ

Loading

การประมูลงานศิลปะนั้นเปรียบเสมือนโลกที่เต็มไปด้วยความลับ ทำให้เป็นช่องโหว่ให้กับขบวนการฟอกเงิน สำหรับมหาเศรษฐีหลายคน การเข้าร่วมงานประมูลงานศิลปะเป็นเรื่องของความสุขทางใจ ขณะที่อีกหลายคนเชื่อว่า การครอบครองงานศิลปะมูลค่ามหาศาลคือการลงทุน เก็งกำไรเพื่ออนาคต แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่า การทุ่มเงินซื้องานศิลปะเป็นอีกวิธีการฟอกเงินที่ได้ผล และนี่คือกรณีตัวอย่างจากสองพี่น้องตระกูลโรเทนเบิร์ก ที่ถูกทางการสหรัฐฯ ตรวจสอบด้วยข้อกล่าวหาว่า พวกเขาใช้ช่องโหว่จากการประมูลงานศิลปะเป็นช่องทางการฟอกเงิน พี่น้องตระกูลโรเทนเบิร์กคือใคร ฟอกเงินผ่านงานศิลปะอย่างไร? นายอาร์คาดีและนายบอริส โรเทนเบิร์ก เป็นเจ้าของ SMP Bank ซึ่งเป็นธนาคารที่ดำเนินธุรกิจในรัสเซีย ปัจจุบันถูกจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1,730 ของโลก โดยทั้งคู่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยนายบารัค โอบามา คว่ำบาตรเมื่อปี 2557 เนื่องจากพบมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และเพื่อเป็นการตอบโต้รัสเซียที่ยึดไครเมีย จากการสอบสวนโดยวุฒิสภาสหรัฐฯ พบว่า พี่น้องคู่นี้อาศัยความลับของโลกศิลปะในการซื้องานศิลปะราคาแพงหลังถูกคว่ำบาตร โดยพวกเขาทุ่มเงินมากกว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 560 ล้านบาทในการซื้อขายงานศิลปะ ในรายงานยังพบอีกว่าตระกูลโรเทนเบิร์กยังเกี่ยวข้องกับการซื้อขายอื่นๆ เป็นจำนวนเกือบ 3,000 ล้านบาท แม้จะถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรแล้ว จากการตรวจสอบพบว่า ผู้มีอิทธิพลชาวรัสเซียได้ติดต่อกับนายเกรกอรี บอลท์เซอร์ ชาวอเมริกัน ที่เป็นเจ้าของชมรมศิลปะบอลท์เซอร์ (BALTZER) ในกรุงมอสโก…

ภูมิทัศน์ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายระดับโลกในปี 2019

Loading

ดาวน์โหลดเอกสารที่ https://www.state.gov/country-reports-on-terrorism-2/ Written by Kim กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่รายงานการก่อการร้ายรายประเทศประจำปี 2019 (Country Reports on Terrorism 2019)[1] สรุปภาพรวมภูมิทัศน์ของภัยคุกคามทั่วโลกโดยเน้นความคืบหน้าในการต่อต้านการก่อการร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ และยอมรับว่ายังมีความท้าทายสำคัญรออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ กลุ่ม Salafi-jihadist[2] รวมถึงรัฐอิสลาม (Islamic State -IS) และ al-Qaida ยังคงเป็นปฏิปักษ์ที่ยืดหยุ่นและเป็นภัยคุกคามความมั่นคงโลกผ่านกลุ่มพันธมิตรและขยายพื้นที่ปฏิบัติการใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้รายงานจะบ่งชี้ว่า สหรัฐฯกดดันอิหร่าน “ขั้นสูงสุด” โดยประกาศให้กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps – IRGC) อิหร่านเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ แต่ผลที่ได้มีความหลากหลายรวมกัน หากมองในแง่ดีที่สุด[3] เมื่อ 24 มิถุนายน 2020 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่รายงานประจำปีเกี่ยวกับการก่อการร้ายรายประเทศโดยสรุปภาพรวมภูมิทัศน์ภัยคุกคามทั่วโลก สาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยรวมทั้งภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายที่ยังคงอยู่และบทบาทของอิหร่านในการสนับสนุน (ตัวแทน) กลุ่มก่อการร้าย เช่น กลุ่ม Hezballah ปลุกปั่นการก่อการร้ายและความรุนแรงสุดโต่งทั่วโลก (จากตะวันออกกลางถึงละตินอเมริกา) และยอมรับว่าเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติที่มีเหตุจูงใจด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ก่อการร้ายคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacist terrorists) เป็นภัยคุกคามความมั่นคง ในเบื้องต้นรายงานมุ่งเน้นเหตุการณ์ในปี 2019 ซึ่งสหรัฐฯและพันธมิตรสามารถเอาชนะและกำจัดที่มั่นสุดท้ายของ IS ใน Baghouz…

เมื่อข่าวกรอง (Intelligence) ถูกทำให้เป็นการเมือง (Politicizing): อันตรายของประเทศ

Loading

https://www.npr.org/2020/07/01/885909588/trump-calls-bounty-report-a-hoax-despite-administration-s-briefing-of-congress Written by Kim รัฐบาลของประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯมีมาตรฐานการปฏิบัติต่อรายงานใด ๆ ที่เผยให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ประจบประแจงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ด้วยการตีตราว่ารายงานนั้นเป็น “ข่าวปลอม” การทำให้รายงานประมาณการข่าวกรองแห่งชาติ (national intelligence assessments) และการวิเคราะห์จากประชาคมข่าวกรองเป็น “การเมือง” (politicizing) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลทางลบอย่างมหาศาลและก่อให้เกิดความจริงทางเลือก (alternative facts) ที่ขัดแย้งไม่สำคัญทางการเมืองรวมทั้งการวิเคราะห์ฝ่ายเดียว ทั้งนี้ มีหน่วยงานพลเรือนของรัฐบาลกลางเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์และผู้จงรักภักดีทางการเมือง ป้ายสีว่าลำเอียงเข้าข้าง ทรยศหรือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐพันลึก (Deep State)[1] ระหว่างการนำสหรัฐฯเข้าสู่หายนะของการรุกรานอิรักในปี 2003 รัฐบาลของประธานาธิบดีบุชประสบความสำเร็จอยู่บ้างในการคัดเลือกเฉพาะข่าวกรองที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง (casus belli) เพื่อเข้าทำสงคราม จากนั้นรองประธานาธิบดี Dick Cheney ได้แทรกแซงและจุ้นจ้านกับการวิเคราะห์ของสำนักงานข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency – CIA) โดยใช้การเมืองกดดันหน่วยข่าวกรองมืออาชีพฝ่ายพลเรือน โดยผลพวงของความขัดแย้งดังกล่าวยังคงรู้สึกได้จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลสหรัฐฯมักจัดลำดับความสำคัญและออกคำสั่งข่าวกรองแห่งชาติ (national intelligence directives) มอบหมายภารกิจให้หน่วยงานข่าวกรองรวบรวม วิเคราะห์ ประมาณการและแจกจ่ายรายงานข่าวกรองตามลำดับความสำคัญและวัตถุประสงค์ เมื่อใดที่รัฐบาลพยายามแสวงหาข่าวกรอง เพื่อสนับสนุนข้อกำหนดที่มีอยู่ก่อน (pre-existing preference) หรือความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นตามมาย่อมเลวร้ายเสมอ นี่คือแนวโน้มความแตกแยกที่ถูกตรวจสอบโดยข้าราชการพลเรือนที่ทำหน้าที่รับใช้ฝ่ายบริหารทุกระดับของรัฐบาล…

ชายสิงคโปร์รับสารภาพเป็น ‘สายลับจีน’ แฝงตัวในสหรัฐฯ

Loading

เอเอฟพี – ชายชาวสิงคโปร์รับสารภาพวานนี้ (24 ก.ค.) ว่าเข้ามาเปิดบริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐฯ บังหน้าเพื่อเป็นสายลับรวบรวมข่าวกรองให้กับจีน โหยว จุน เว่ย หรือ ดิกสัน โหยว (Dickson Yeo) รับสารภาพต่อศาลกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ทำงานเป็นสายสับต่างชาติ โดยได้รับการว่าจ้างจากหน่วยข่าวกรองจีนให้ “ระบุตัวตนและประเมินบุคลากรกองทัพหรือลูกจ้างรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับ” ระหว่างปี 2015-2019 โหยว วัย 39 ปี จ่ายเงินจ้างคนเหล่านี้ให้เขียนรายงาน โดยอ้างว่าจะส่งให้กับลูกค้าในเอเชีย แต่แท้ที่จริงข้อมูลดังกล่าวกลับถูกส่งตรงให้กับรัฐบาลจีน คำรับสารภาพของ โหยว มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่สหรัฐฯ สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส โดยกล่าวหาว่าเป็นศูนย์สอดแนมและปฏิบัติการขโมยความลับด้านเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา สหรัฐฯ ยังจับกุมนักวิชาการจีนอีก 4 คน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในข้อหาแจ้งข้อมูลวีซ่าอันเป็นเท็จ และปิดบังความสัมพันธ์กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน โหยว ยอมรับว่า เขารู้ตัวว่ากำลังทำงานให้หน่วยข่าวกรองจีน เคยพบปะสายลับจีนมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง และได้รับการดูแลเป็นพิเศษเมื่อเดินทางไปจีน เขาถูกจับหลังจากที่เดินทางกลับมายังสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2019 โหยว เริ่มทำงานกับหน่วยสืบราชการลับจีนตั้งแต่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS)…

สหรัฐสั่งคุก 15 ปี มือวางแผนก่อวินาศกรรมถล่มทำเนียบขาว

Loading

แฟ้มภาพนายแฮเชอร์ ทาเฮบ ผู้ต้องหาในคดีวางแผนโจมตีทำเนียบขาว ซึ่งทั้งสองภาพถ่ายไว้ในปี 2015 (เอพี) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาแถลงเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า นายแฮเชอร์ ทาเฮบ ชาวเมืองคัมมิง รัฐจอร์เจีย อายุ 23 ปี ถูกศาลตัดสินโทษจำคุกเป็นเวลา 15 ปี จากการวางแผนที่จะก่อวินาศกรรมโจมตีทำเนียบขาวด้วยจรวดต่อต้านรถถังและวัตถุระเบิดต่างๆ และยังมีแผนที่จะโจมตีรูปปั้นเทพีเสรีภาพ อนุสาวรีย์วอชิงตัน อนุสรณ์สถานลินคอล์น และ โบสถ์ยิวในกรุงวอชิงตันด้วย ข่าวแจ้งว่า การตัดสินโทษมีขึ้นหลังจากนายทาเฮบถูกเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐจับกุมตัวไว้ได้เมื่อวันที่ 16 มกราคมปี 2019 หนึ่งปีหลังจากที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอของสหรัฐได้รวบรวมข้อมูลหลังได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนในชุมชนว่านายทาเฮบซึ่งขณะนั้นมีอายุ 21 ปี มีรากฐานทางความคิดที่เปลี่ยนไป ในคำฟ้องระบุว่านายทาเฮบได้พยายามเกณฑ์ให้ผู้แจ้งข่าวและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนอกเครื่องแบบเข้าร่วมแผนการก่อวินาศกรรมของตนเอง ซึ่งนายทาเฮบกล่าวอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเขาในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้เป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนา โดยในตอนแรกนายทาเฮบหวังจะเดินทางไปยังพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม(ไอเอส)ในตะวันออกกลาง แต่ได้เปลี่ยนใจที่จะลงมือในสหรัฐ เนื่องจากเขาไม่มีพาสปอร์ต ทั้งนี้การจับกุมนายทาเฮบมีขึ้นขณะเขาถูกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอล่อจับในระหว่างรอรับอาวุธที่นายทาเฮบสั่งให้นำมาส่งให้ทั้งอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ระเบิดและอาวุธต่อต้านรถถังเอที-4 —————————————————————- ที่มา : มติชน / 24 กรกฎาคม 2563 LInk : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2279229

ผู้ประท้วงปะทะ จนท.รัฐบาลกลางเมืองพอร์ตแลนด์หลังศาลสั่งห้ามการใช้กำลัง

Loading

Protesters throw flaming debris over a fence at the Mark O. Hatfield United States Courthouse on Wednesday, July 22, 2020, in Portland, Ore. Following a larger Black Lives Matter Rally, several hundred demonstrators faced off against federal… ประชาชนในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ยังคงเดินหน้าประท้วงต่อเนื่อง และปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง หลังศาลออกคำสั่งยับยั้งไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันส่งมา ใช้กำลังกับผู้สื่อข่าวและผู้สังเกตการณ์เหตุประท้วง ในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ผู้ชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางที่ปักหลักดูแลอาคารสำนักงานศาลของเมืองพอร์ตแลนด์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่บางส่วนจะยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน เพื่อกันให้ออกจากบริเวณอาคาร พร้อมประกาศว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย เหตุปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้เกิดขึ้น หลังผู้พิพากษา ไมเคิล ไซมอน ออกคำสั่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ยับยั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางไม่ให้ใช้กำลัง เข้าสลาย…