กระทรวงมาตุภูมิฯสหรัฐฯออกไอเดียให้ “พลเมืองสหรัฐฯ” ทุกคนต้องสแกนใบหน้าเข้าออกประเทศ

Loading

รอยเตอร์ – รัฐบาสหรัฐฯชุดทรัมป์ต้องการบังคับใช้ข้อกำหนดใหม่ในปีหน้า กำหนดให้ผู้เดินทางผ่านเข้าออกประเทศทุกคน รวมพลเมืองสหรัฐฯต้องถูกถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง รอยเตอร์รายงานวันนี้ (3 พ.ย) ว่า ข้อกำหนดที่ถูกเสนอออกมาเมื่อกฎกฎาคมที่ผ่านมาโดยกระทรวงมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในภาพกว้างของระบบติดตามตัวนักเดินทางเข้าและออก อย่างไรก็ตามแผนที่ว่านี้ได้รับการต่อต้านออกจากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิส่วนบุคคล โดยเจย์ สแตนลีย์ (Jay Stanley) นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโสให้กับสหภาพสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ ACLU ได้ออกมาโต้แย้งแนวความคิดการให้สแกนใบหน้าพลเมืองอเมริกันในการผ่านเข้าออกประเทศผ่านแถลงการณ์ว่า “นักท่องเที่ยวรวมถึงพลเมืองสหรัฐฯไม่สมควรต้องยอมจำนนต่อการตรวจทางชีววิทยาที่เหมือนเป็นการบุกรุก เนื่องมาจากเงื่อนไขในการปกป้องสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการเดินทางของพวกเขา” ทั้งนี้พบว่าสาธารณะมีเวลาราว 30-60 วันในการแสดงความเห็นต่อข้อกำหนดของสหรัฐฯ และหลังจากนั้นหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯจะทำการพิจารณาทบทวนและตอบต่อความเห็นเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ใช้ระยะเวลามากที่สุด นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯชุดทรัมป์ยังกล่าวในวาระกฎเกณฑ์ว่า ทางสหรัฐฯมีแผนที่จะออกข้อกำหนดฟาสต์แทร็กที่แยกออกมาต่างหากภายในเดือนนี้เพื่อทำให้โปรเจกต์เข้า-ออกนั้นไปไกลกว่าสถานะนำร่อง สำนักงานศุลกากรและปกป้องพรมแดนสหรัฐฯที่อยู่ภายใต้กระทรวงมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯได้ออกโครงการนำร่องทำการรวบรวมภาพถ่ายและลายนิ้วมือของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตามในปี 2018 ฝ่ายตรวจสอบภายในได้พบปัญหาด้านปฎิบัติการและเทคนิคที่สนามบิน 9 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สร้างความสงสัยว่าทางกระทรวงมาตุภูมิสหรัฐฯจะสามารถทำได้ทันกำหนดเส้นตายของตัวเองหรือไม่ที่จะสมารถยืนยันการเดินทางออกนอกประเทศของชาวต่างชาติทุกคนได้ทันในสนามบินขนาดใหญ่ 20 แห่งทั่วประเทศภายในปีงบประมาณปี 2021 ————————————– ที่มา : MGR Online / 3 ธันวาคม 2562 Link : https://mgronline.com/around/detail/9620000115756

ระทึก! บึ้มในสวนใกล้ทำเนียบปธน.อินโดฯ ทหารเจ็บ 2 สถานทูตไทยเตือนเลี่ยงพื้นที่

Loading

เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียระบุว่า เกิดเหตุระเบิดควันระเบิดในสวนสาธารณะใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นาย กาโตต์ เอ็ดดี ปราโมโน เจ้าหน้าที่ตำรวจจาการ์ตา ระบุว่า ระเบิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่สวนสาธารณะอนุสาวรีย์แห่งชาติ โดยเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารพบระเบิดควันวางอยู่ในสวนและเกิดระเบิดขึ้นขณะที่กำลังจะเก็บระเบิดขึ้นมา ปราโมโนระบุว่า ทหาร 2 นาย ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่มีอาการคงที่ ปราโมโนระบุด้วยว่า กำลังมีการสืบสวนเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่จะบังเอิญทำหล่นเอาไว้เนื่องจากเวลานี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารหลายพันนายลงพื้นที่กรุงจาการ์ตา เพื่อรักษาความปลอดภัยการเดินขบวนของกลุ่มมุสลิมอนุรักษนิยมที่จัดขึ้นใกล้กับสวนสาธารณะดังกล่าว ด้านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ระบุว่า เกิดเหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ ในกรุงจาการ์ตา ยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา โพสข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า ด้วยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 เวลา 07.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ (Monas) ในกรุงจาการ์ตา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 2 ราย ในเบื้องต้นยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว…

กองทัพสหรัฐฯอาจประจำการ “นักรบไซบอร์ก” ภายในปี 2050

Loading

กองบัญชาการพัฒนาความสามารถในการรบ (CCDC) ของกองทัพสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่า เทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยเสริมสมรรถนะการมองเห็น การได้ยิน และการใช้กล้ามเนื้อให้กับทหารอเมริกันนั้น จะพร้อมนำมาใช้งานได้ภายในปี 2050 และจะทำให้แผนประจำการ “นักรบไซบอร์ก” ในกองทัพ มีความเป็นไปได้สูงในอนาคตอันใกล้นี้ รายงานดังกล่าวมีชื่อว่า “ทหารไซบอร์ก 2050: การผสมผสานมนุษย์กับเครื่องจักร และผลกระทบต่ออนาคตของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ” ได้ระบุถึงความสามารถทางเทคโนโลยีชีวภาพ 4 ด้าน ที่ผ่านการประเมินแล้วว่าน่าจะพร้อมใช้งานกับทหารที่เป็นมนุษย์ได้ ภายใน 30 ปีข้างหน้า ซึ่งได้แก่การเสริมสมรรถนะดวงตา หู กล้ามเนื้อ และสมอง ทีมนักวิจัยผู้จัดทำรายงานดังกล่าวระบุว่า การสร้างนักรบไซบอร์กที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมประสิทธิภาพของระบบประสาทในสมองโดยตรง จะนำไปสู่การปฏิวัติกลยุทธ์ดำเนินแผนการรบสมัยใหม่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ดวงตาของนักรบไซบอร์กจะสามารถมองเห็นและประกอบสร้างภาพได้ชัดเจนขึ้น ช่วยให้การระแวดระวังภัยและการรับรู้สถานการณ์รอบข้างดีขึ้น หูไซบอร์กช่วยให้การสื่อสารและระบบคุ้มกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเทคนิคพันธุศาสตร์เชิงแสง (Optogenetics) ซึ่งใช้หลักพันธุวิศวกรรมทำให้โมเลกุลไวแสงเข้าควบคุมกิจกรรมภายในเซลล์นั้น จะช่วยวางโปรแกรมควบคุมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อของนักรบไซบอร์ก ผ่านการสวมชุดบอดี้สูทแนบเนื้อที่มีตาข่ายเซนเซอร์แทรกอยู่ทั่วตัวด้วย “เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การสื่อสารและโอนถ่ายข้อมูลระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร รวมทั้งการสื่อสารทางสมองโดยตรงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เป็นไปได้ ทหารไซบอร์กยังสามารถสื่อสารกับพาหนะไร้คนขับและบังคับระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้การบัญชาการและปฏิบัติการรบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” รายงานล่าสุดระบุ นอกจากเทคโนโลยีด้านการทหารแล้ว รายงานข้างต้นยังชี้ว่า การใช้งานไซบอร์กจะแพร่หลายในสังคมพลเรือนภายในช่วง 30 ปีข้างหน้าด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานด้านสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง…

ระทึก!สหรัฐฯปิดตายทำเนียบขาว,ส่งฝูงบินขึ้นสกัด พบอากาศยานปริศนาโฉบเข้าเขตหวงห้าม

Loading

เอเอฟพี/ซีเอ็นบีซี – เจ้าหน้าที่สหรัฐฯต้องปิดการเข้าออกทำเนียบขาวและอาคารรัฐสภาในตอนเช้าวันอังคาร (26 พ.ย.) พร้อมกับส่งฝูงบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังพบเครื่องบินที่ไม่ได้รับอนุญาตลำหนึ่งบินเข้าสู่น่านฟ้าหวงห้ามเหนือกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หน่วยสืบราชการลับ (Secret Service agents) ออกประกาศปิดการเข้าออก โดยอ้างคำสั่ง shelter in place (ให้หลบภัยในสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในขณะนั้น) หลังจากหอควบคุมการบินขาดการติดต่อกับเครื่องบินลำดังกล่าว จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวตำรวจรัฐสภา อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวรายนี้ไม่ทราบว่าเครื่องบินชนิดใดที่เป็นต้นตอของการแจ้งเตือนครั้งนี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่าฝูงบินรบทะยานขึ้นจากฐานทัพอากาศแอนดรูว์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักและมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารจัดการการจราจรของเครื่องบินประธานาธิบดี “แอร์ฟอร์ซวัน” กองบัญชาการป้องกันอวกาศอเมริกาเหนือ(NORAD) ระบุในว่าฝูงบินกำลังมุ่งหน้าสู่จุดเกิดเหตุและตอบสนองต่อสถานการณ์ อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่า “ณ ขณะนี้ เครื่องบินซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าละเมิดน่านฟ้าของเมืองหลวงสหนัฐฯ ยังไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นศัตรู” รายงานข่าวระบุว่าพวกคนงานก่อสร้างซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงรั้วทำเนียบขาวได้รับแจ้งให้ออกจากพื้นที่โดยด่วนตอนราวๆ 8.30น.ตามเวลาท้องถิ่น ในขณะที่ทำเนียบขาวอยู่ภายใต้การคำสั่งปิดการเข้าออก ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งอ้างว่าพบเห็นความเคลื่อนไหวที่บริเวณฐานยิงขีปนาวุธแท่นหนึ่งใกล้อาคารรัฐสภา จุดที่อยู่ภายใต้คำสั่งปิดการเข้าออกเช่นกัน ขณะเดียวกันบรรดาพวกผู้สื่อข่าวที่อยู่ภายในห้องแถลงข่าว ได้รับคำแนะนำให้อยู่แต่ภายในห้องและมีการล็อคประตูจากภายนอก คนงานก่อสร้างรายหนึ่งเปิดเผยกับเดลิเมล์ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับในชุดเครื่องแบบรายหนึ่งซึ่งกำลังลาดตระเวนอยู่ซีกตะวันออกของทำเนียบขาวบอกว่า “ให้ทุกคนออกไป มีคำสั่ง shelter in place” ส่วนอีกคนยืนยันว่า “มีสถานการณ์ฉุกเฉินภายใน เราต้องการให้คุณไปหลบภัยตรงนั้น” พร้อมกับชี้ไปฝั่งตรงข้ามถนนหมายเลข 17 อนึ่งวอชิงตันอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการใช้น่านฟ้าอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะห์จี้เครื่องบินโดยสารโจมตีทั้งในนิวยอร์กและวอชิงตัน ———————————————–…

โปรดเกล้าฯ ประกาศนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคง

Loading

เป็นไปตาม รธน. มาตรา 52 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ปี 2560 เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุปัญหาอ้างความเท็จบ่อนทำลายสถาบันฯ รวมถึงความผูกพันของเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีต่อสถาบันฯ น้อยลงเนื่องจากขาดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสถาบันฯ 22 พ.ย. 2562 วันนี้ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศเรื่อง นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2562-2565) ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบให้ประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2562-2565 ) ตามบทบัญญัติมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2559 เพื่อเป็นแผนหลักของชาติที่เป็นกรอบทิศทางการดำเนินการป้องกัน แจ้งเตือน แก้ไข หรือระงับยับยั้งภัยคุกคามเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีสาระสำคัญตามที่แนบท้ายนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ใช้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2562-2565) ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ประกาศ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่…

สหรัฐฯ อาจลดการแชร์ข้อมูลข่าวกรองกับแคนาดา หากแคนาดาเลือกใช้เทคโนโลยี 5G ของ Huawei

Loading

ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยระดับชาติของสหรัฐฯ ได้เตือนแคนาดาว่าอย่าใช้เทคโนโลยี 5G ของบริษัท Huawei โดยระบุว่าจะทำข่าวกรองที่แชร์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ตกอยู่ในอันตราย รวมถึงสุ่มเสี่ยงต่อการที่ประชาชนชาวแคนาดาจะถูกเก็บข้อมูลโดยรัฐบาลจีนอีกด้วย Robert O’Brien ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในระหว่างงานสัมมนาด้านความปลอดภัยที่ Halifax ว่า หากพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเราเลือกที่จะเปิดให้ม้าโทรจันเข้ามาอยู่ในเมือง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการแชร์ข้อมูลข่าวกรองได้ ถ้าพวกเขา (หมายถึงจีน) นำ Huawei เข้ามาที่แคนาดาหรือประเทศแถบตะวันตกอีกหลายประเทศ ก็จะรู้ข้อมูลด้านสุขภาพ, การธนาคาร, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พวกเขาจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชาวแคนาดาแต่ละคน ส่วนฝ่ายแคนาดาโดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Harjit Sajjan ที่อยู่ในงาน Halifax ด้วย ระบุว่าแคนาดาต้องใช้เวลาสักระยะที่จะสามารถพิจารณาภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรอบด้าน ปัจจุบัน ประเทศที่แบนเทคโนโลยี 5G ของ Huawei ไปแล้วก็มีสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในขณะที่อังกฤษนั้นยังไม่ได้แบนแต่เลือกที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของ Huawei ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ —————————————— ที่มา : Blognone / 24 November 2019 Link : https://www.blognone.com/node/113309