ผู้ประท้วงอิรักบุกโจมตี ‘สถานทูตสวีเดน’ ในแบกแดด แค้นจะปล่อยให้มีการ ‘เผาอัลกุรอาน’ รอบสอง

Loading

  ผู้ประท้วงชาวอิรักหลายร้อยคนบุกโจมตีสถานทูตสวีเดนประจำกรุงแบกแดดเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (20 ก.ค.) โดนปีนกำแพงเข้าไปด้านใน และจุดไฟเผาอาคาร เพื่อประท้วงกิจกรรมเผาคัมภีร์อัลกุรอานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งที่สวีเดนเร็วๆ นี้ สำนักงานสื่อมวลชนของกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตทุกคนปลอดภัยดี พร้อมทั้งประณามเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทางการอิรักเพิ่มมาตรการคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่คณะทูตต่างประเทศ   ปฏิบัติการบุกเผาสถานทูตครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มผู้สนับสนุนมุกตาดา ซัดร์ (Muqtada Sadr) นักการศาสนาชาวชีอะห์ เพื่อต่อต้านกิจกรรมเผาพระคัมภีร์อัลกุรอานที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่สวีเดน ภายในเวลาห่างกันไม่กี่สัปดาห์ คลิปวิดีโอที่โพสต์ลงกลุ่ม One Baghdad ในแอปเทเลแกรมจะเห็นว่ามีกลุ่มผู้ประท้วงไปปิดล้อมสถานทูตสวีเดนตั้งแต่เวลาราว 1.00 น. พร้อมทั้งป่าวร้องสโลแกนยกย่อง ซัดร์ ก่อนจะบุกเข้าไปในเขตสถานทูตในอีก 1 ชั่วโมงให้หลัง   คลิปวิดีโอที่มีการโพสต์ต่อมาเผยให้เห็นกลุ่มควันลอยขึ้นจากอาคารสถานทูต และมีผู้ประท้วงบางส่วนขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคา ซัดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอิรักเคยปลุกระดมเหล่าสาวกนับแสนคนให้มาลงถนนประท้วงมาแล้ว รวมถึงเมื่อฤดูร้อนปีกลายที่ผู้ประท้วงกลุ่มนี้บุกยึดพื้นที่กรีนโซน (Green Zone) และเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุปะทะรุนแรง   กระทรวงการต่างประเทศอิรักได้ออกคำแถลงประณามการบุกสถานทูตสวีเดน และยืนยันว่ารัฐบาลได้สั่งให้กองกำลังความมั่นคงดำเนินการสอบสวน และระบุตัวตนผู้กระทำความผิด เพื่อนำตัวมาลงโทษตามกฎหมาย เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ซัดร์ ได้เรียกระดมเหล่าสาวกออกมาประท้วงต่อต้านสวีเดน และขับไล่เอกอัครราชทูตสวีเดน หลังจากที่มีนักเคลื่อนไหวชาวอิรักคนหนึ่งจุดไฟเผาอัลกุรอานที่มัสยิดกลางในกรุงสตอกโฮล์ม   ล่าสุด สำนักข่าว…

“จีน” ใช้โปรแกรมสแกนใบหน้า จดจำ-ตามรอยผู้ประท้วงต้านมาตรการโควิด

Loading

  “ตำรวจ” จีนติดตั้งเครื่องมือสอดแนม ด้วยการใช้โปรแกรมสแกนใบหน้า เพื่อจดจำและติดตามรอยกลุ่มผู้ประท้วง หวังควบคุมความไม่สงบทั่วประเทศ   ความไม่พอใจต่อมาตรการควบคุมโควิด-19 ปะทุขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้ยุติมาตรการล็อกดาวน์ และให้เสรีภาพทางการเมืองแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน   หวัง เซิ่งเซิง นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่า ปักกิ่งประกาศปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม โดยส่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงลงพื้นที่เข้าจัดการ อีกทั้งยังใช้ซอฟต์แวร์แกะรอยที่ซ้อนตัวของผู้ประท้วงอีกด้วย   “ในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ดูเหมือนเจ้าหน้าตำรวจได้ใช้อาวุธไฮเทคเพื่อจัดการผู้ชุมนุม” นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวกับเอเอฟพีและเสริมว่า ต่างจากเมืองอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งภาพในกล้องวงจรปิดที่จดจำใบหน้า   ตำรวจปักกิ่งอาจใช้ตำแหน่งทางโทรศัพท์มือถือที่บันทึกจากการแสกนใบหน้าหรือโคดข้อมูลทางสุขภาพช่วงโควิด-19 เพื่อติดตามรอยหลังกลับจากการประท้วงแล้ว   อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้โทรศัพท์หลายต่อหลายคนแปลกใจที่ได้รับสายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มอบตัว ทั้งที่พวกเขาเดินผ่านกลุ่มผู้ประท้วงเท่านั้น       ———————————————————————————————————————————- ที่มา :                               …

ผู้ประท้วงบุกทำเนียบปธน.ศรีลังกา นายกฯประกาศลาออก เปิดทางตั้งรัฐบาลจากทุกพรรคการเมือง

Loading

                                           REUTERS   ผู้ประท้วงหลายพันคนได้บุกเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีโคฐานภยะ ราชปักษะ ของศรีลังกา ในกรุงโคลอมโบ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม แม้ว่าทหารและตำรวจจะยิงปืนขึ้นฟ้าแต่ก็ไม่สามารถยุติฝูงชนที่ต่างโกรธแค้นต่อการบริหารงานของรัฐบาลที่เป็นต้นเหตุให้เศรษฐกิจศรีลังกาล่มสลาย ภาพที่มีการเผยแพร่ผ่านไลฟ์สตรีมบนเฟซบุ๊ก แสดงให้เห็นว่า มีผู้ประท้วงจำนวนมากบุกเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดี บางคนชูธงชาติกลางห้องต่างๆ ในตัวอาคาร ขณะที่บางคนไปเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ และคนอีกจำนวนหนึ่งก็พากันไปนั่งบนโซฟาและเตียง โดยไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวเลย นายรานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม แสดงความพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง ในการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่ทุกพรรคเข้ามามีส่วนร่วมขึ้นมาบริหารประเทศแทน                  …

ผู้ประท้วงขึ้นราคาแอลพีจี‘คาซัคสถาน’ถล่มสำนักงานนายกเทศมนตรี

Loading

  การประท้วงก๊าซแอลพีจีราคาแพงในคาซัคสถานบานปลายเอาไม่อยู่ ผู้ชุมนุมบุกสำนักงานนายกเทศมนตรีอัลมาตี เมืองใหญ่สุดของประเทศ ตามที่ตั้งแต่ปีใหม่คาซัคสถานขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ที่ประชาชนทางภาคตะวันตกนิยมใช้เติมรถยนต์ ประชาชนหลายพันคนจึงออกมาเดินขบวนประท้วงในเมืองอัลมาตี เมืองใหญ่สุดของคาซัคสถาน และใน จ.แมงกิสเตาทางตะวันตก อ้างว่าการขึ้นราคาไม่เป็นธรรมเพราะประเทศส่งออกน้ำมันและก๊าซอย่างคาซัคสถานมีแหล่งพลังงานสำรองมากมาย ล่าสุดผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ตำรวจใช้ระเบิดควันและแก๊ซน้ำตากับผู้ประท้วงหลายพันคน บางคนมีกระบองและโล่ที่ยึดไปจากตำรวจ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันผู้ประท้วงบุกเข้าไปในอาคารสำนักงานนายกเทศมนตรีเมืองอัลมาตีได้ ตำรวจจับกุมประชาชนกว่า 200 คนที่ร่วมประท้วง ช่วงบ่ายที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวในอัลมาตีเห็นผู้ชายในเครื่องแบบตำรวจหลายคนทิ้งโล่และหมวกกองรวมกันแล้วเข้าไปโอบกอดผู้ชุมนุม ซึ่งชายในเครื่องแบบเหล่านั้นไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ “พวกเขามาเข้าข้างเราแล้ว” หญิงคนหนึ่งร้องตะโกนขณะสวมกอดกับเพื่อนผู้ประท้วง การประท้วงครั้งนี้ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่สุดเท่าที่รัฐบาลสถาปนาโดยประธานาธิบดีนูร์ซุลตัน นาซาร์บาเยฟเคยมีนับถึงขณะนี้ นาซาร์บาเยฟ ประธานาธิบดีผู้ก่อตั้งคาซัคสถานลงจากตำแหน่งเมื่อปี 2562 แล้วสนับสนุนให้นายคาซึม-โยมาร์ต โตคาเยฟ ผู้จงรักภักดีเป็นประธานาธิบดีสืบต่อไป โดยนาซาร์บาเยฟ วัย 81 ปี และปกครองคาซัคสถานมาตั้งแต่ปี 2534 ยังควบคุมประเทศในตำแหน่งประธานสภาความมั่นคงและ “ผู้นำแห่งชาติ” บทบาทตามรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิพิเศษในการกำหนดนโยบายเฉพาะและมีเอกสิทธิไม่ต้องถูกดำเนินคดี     ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ     /  วันที่เผยแพร่ 5 ม.ค.2565 Link : https://www.bangkokbiznews.com/world/980996